ประวัติการทอดกฐิน ตามพระพุทธบัญญัติ
จัดทำโดย อ. สุชาติ ภูวรัตน์
นธ.เอก, บาลีประโยค 1-2
(อดีตพระธรรมทูตต่างประเทศ)
B.S. Engineering Design Tech.
B.A. ศาสนศาสตร์บัณฑิต
B.S. Computer Information Systems
B.TM. แพทย์แผนไทยบัณฑิต
สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ
บ.ภ., พท.ว., พท.ผ., พท.น.
ครูแพทย์แผนไทย 4 ด้าน
ศูนย์การแพทย์แผนไทยภูเก็ต
ทำเพื่อการศึกษาและประโยชน์แก่ผู้ชม
ประวัติความเป็นมาของผ้ากฐินในสมัยพุทธกาล
ในสมัยที่พระพุทธองค์ได้พักอยู่ที่มหาวิหารเชตวัน
กรุงสาวัตถี แคว้นโกศล ได้มีพระภิกษุมาจากเมืองปาฐารัฐ 30 รูป ถือธุดงควัตรเคร่งครัดประสงค์จะเข้าเฝ้าพระพุทธองค์
จึงพากันเดินทางมาถึงเมืองสาเกตก็เป็นวันเข้าพรรษาพอดี จึงต้องอยู่จำพรรษาที่เมืองสาเกต
พอออกพรรษา ปวารณาแล้วก็เดินทางต่อด้วยเท้าจากเมืองสาเกตซึ่งห่างจากกรุงสาวัตถีประมาณ
100 กิโลเมตร เวลานั้นฝนยังตก ทางเดินเต็มไปด้วยน้ำโคลนตม ต้องลุยน้ำโคลนและตากแดดไปตลอดทาง
ทำให้สบงจีวรเปียกน้ำฝนเปื่อย บางท่านจีวรขาดทะลุและเปื้อนโคลนตม เมื่อถึงกรุงสาวัตถีก็ได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์
เมื่อพระพุทธองค์ทรงเห็นความลำบากของพระภิกษุเหล่านั้น จึงเรียกประชุมสงฆ์กล่าวถึงพระภิกษุทั้ง
30 รูปเป็นเหตุ จึงทรงมีพุทธานุญาตให้พระภิกษุที่จำพรรษา ครบ 3 เดือนให้รับผ้ากฐินเสียก่อน
ทั้งนี้เพราะว่าแม้ออกพรรษาแล้วก็ตามฝนก็ยังตกอยู่ ถ้าไม่จำเป็นก็ให้อยู่รับผ้ากฐินเสียก่อนแล้วจึงเดินทางไปที่อื่น
แล้วทรงกำหนดเวลารับผ้ากฐินตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงขึ้น 15 ค่ำเดือน 11
ประมาณ 1 เดือนหลังออกพรรษา
ความจริงเรื่องผ้ากฐินนั้นเป็นเรื่องของพระภิกษุสงฆ์ทำผ้าจีวร
เมื่อพระภิกษุได้ผ้ามาจากที่ต่าง ๆ นำมารวมเย็บให้เป็นผืนเดียวแล้วตกลงกันว่าจะมอบจีวรนี้ให้แก่พระภิกษุรูปใด
ในสมัยพุทธกาลนั้นผ้าส่วนใหญ่เป็นผ้าบังสุกุลหรือผ้าที่ได้จากผ้าห่อศพ
ผ้าจึงมีจำนวนไม่มาก จะทำเป็นจีวรจึงทำได้เพียงผืนเดียว และจะมอบผ้าที่ทำเป็นจีวรนั้น
ให้แก่พระภิกษุที่มีผ้าเก่าที่สุดนำไปใช้นุ่งห่ม
ในพระธรรมบทกล่าวว่าในสมัยพุทธกาลมีการประชุมใหญ่ในการทำผ้าจีวร
เมื่อพระอนุรุทธะได้ผ้าบังสุกุลมา จะทำจีวรเปลี่ยนผ้าห่มผืนเก่า
พระพุทธองค์ทรงทราบพร้อมด้วยพระภิกษุ 500 รูป เสด็จไปเป็นประธานในวันนั้นมีพระมหาสาวก
80 รูปร่วมประชุมช่วยทำผ้ากฐิน พระมหากัสสปะนั่งอยู่ต้นผ้า พระสารีบุตรนั่งอยู่กลางผ้า
พระอานนท์นั่งอยู่ปลายผ้า พระภิกษุสงฆ์ช่วยกันกรอด้ายสำหรับเย็บ พระพุทธองค์ทรงสนเข็ม
พระโมคคัลลานะ เป็นผู้ช่วยทำกิจการ ชาวบ้านนำสิ่งของไปถวาย เมื่อผ้าจีวรทำเสร็จแล้ว
จึงมีการประชุมสงฆ์ทำสังฆกรรมเกี่ยวกับผ้ากฐิน
ในสมัยพุทธกาล มีผู้ศรัทธานำผ้ากฐินมาถวายแต่ไม่ปรากฏนามผู้ถวายผ้ากฐินเป็นคนแรกที่พระพุทธองค์ทรงมีพระพุทธานุญาต
คำว่า กฐิน หรือ กฐินะ เป็นภาษาบาลี
จัดเป็นสังฆกรรมอย่างหนึ่ง โดยมีไม้ใช้เป็นอุปกรณ์สำหรับขึงผ้าเป็นสี่เหลี่ยม
เพื่อขึงผ้าให้ตึง สำหรับเย็บทำเป็นจีวร ในสมัยโบราณยังไม่มีเครื่องจักรทอผ้า จึงเรียกไม้นี้ว่า
“ไม้สะดึง”
ที่กางออกไปเพื่อขึงเย็บจีวร การกรานกฐิน หมายถึงการกางไม้สะดึงนั้น และคำว่า “กฐิน” เป็นชื่อของกรอบไม้สำหรับทำจีวร
ซึ่งอาจเรียกว่าไม้สะดึงก็ได้ เนื่องจากในครั้งพุทธกาลการทำจีวรให้มีรูปตามที่กำหนดกระทำได้ยาก
จึงต้องทำกรอบไม้สำเร็จรูปไว้ เพื่อเป็นอุปกรณ์สำคัญในการทำเป็นผ้านุ่ง
(สบง) หรือผ้าห่ม (จีวร) หรือผ้าห่มซ้อนทับ (สังฆาฏิ) รวมเรียกว่า ไตรจีวร (ผ้า 3 ผืน)
การทำผ้านุ่งห่มโดยอาศัยแบบกรอบไม้สะดึง แล้วตัดเย็บย้อมทำให้เสร็จในวันนั้น
ด้วยความสามัคคีของสงฆ์รวมกันทำกิจกรรม เมื่อทำเสร็จ หรือพ้นกำหนดกาลแล้ว แม่แบบกรอบไม้สะดึงหรือกฐินนั้นก็รื้อไม้แบบ
(กฐินเดาะ) เก็บไว้ใช้ทำผ้านุ่งห่มในปีต่อไป
ผ้าที่ใช้ทำผ้ากฐินมี
5 ชนิด คือ
1.
ผ้าใหม่
2.
ผ้ากลางใหม่
3.
ผ้าเก่า
4.
ผ้าบังสุกุล
5.
ผ้าตกหล่นจากร้าน
คุณสมบัติของพระภิกษุผู้กรานกฐินมี
8 ประการ คือ
1.
รู้จักบุพพกรณ์
7 คือ
1)
ซักผ้า
2) กะผ้า 3) ตัดผ้า
4) เนาหรือด้นผ้าที่ตัดแล้ว 5)
เย็บเป็นจีวร
6) ย้อมจีวรที่เย็บแล้ว 7) ทำกัปปะ คือ พินทุ (หรือเครื่องหมายบนผ้า)
2.
รู้จักถอนไตรจีวร วิธีถอนไตรจีวร
(ธรรมเนียมโบราณ) ท่านให้ยกผ้าเก่าทับผ้าใหม่ แล้วกล่าวคำถอนว่า
“ อิมํ สงฺฆาฏิ ปจฺจุทธรามิ,
อิมํ อุตฺตราสงฺคํ ปจฺจุทธรามิ,
อิมํ อนฺตรวาสกํ ปจฺจุทธรามิ. ”
(จะถอนผืนใด พึงกล่าวแต่ผืนนั้นโดยเฉพาะ)
“ อิมํ สงฺฆาฏิ ปจฺจุทธรามิ,
อิมํ อุตฺตราสงฺคํ ปจฺจุทธรามิ,
อิมํ อนฺตรวาสกํ ปจฺจุทธรามิ. ”
(จะถอนผืนใด พึงกล่าวแต่ผืนนั้นโดยเฉพาะ)
https://www.youtube.com/watch?v=wUEGKFbDaYM
3.รู้จักอธิษฐานไตรจีวร
การอธิษฐานผ้าใหม่ (ธรรมเนียมโบราณ) ท่านให้ยกผ้าใหม่ทับผ้าเก่า
แล้วกล่าวคำอธิษฐานว่า
“ อิมํ สงฺฆาฏิ อธิฏฐามิ,
อิมํ อุตฺตราสงฺคํ อธิฏฐามิ,
อิมํ อนฺตรวาสกํ อธิฏฐามิ.”
(จะอธิษฐานผืนใด พึงกล่าวแต่ผืนนั้นโดยเฉพาะ)
“ อิมํ สงฺฆาฏิ อธิฏฐามิ,
อิมํ อุตฺตราสงฺคํ อธิฏฐามิ,
อิมํ อนฺตรวาสกํ อธิฏฐามิ.”
(จะอธิษฐานผืนใด พึงกล่าวแต่ผืนนั้นโดยเฉพาะ)
4. รู้จักการกราน
5. รู้จักมาติกา คือ รู้จักการเดาะกฐิน มี 8 คือ ไม้สะดึง
หรือ แม่แบบหรือกฐินนั้น
รื้อเก็บไว้ใช้ทำผ้านุ่งห่มในปีต่อไป
1) เดาะกฐินด้วยการหลีกไปไม่คิดจะกลับมาอีก
2) เดาะกฐินด้วยทำจีวรเสร็จแล้ว
3) เดาะกฐินด้วยสันนิษฐานว่าจะไม่ทำผ้าจีวร
4) เดาะกฐินด้วยผ้าหายหรือเสีย
5) เดาะกฐินด้วยได้ยินข่าวว่าเลิกอานิสงส์กฐิน
6) เดาะกฐินด้วยสิ้นหวังจากการได้ผ้า
7) เดาะกฐินด้วยล่วงพ้นเขตเวลารับกฐืน
8) เดาะกฐินด้วยพร้อมภิกษุทั้งหลาย
6. รู้จักปลิโพธกังวล
2 อย่าง
1) อาวาสปลิโพธ คือ ยังมีความกังวลอาลัยผูกใจจะอยู่ในอาวาสนั้น
2) จีวรปลิโพธ คือ ยังมีความกังวลอาลัยผูกใจจะทำจีวรนั้น
7. รู้จักการเดาะกฐิน (ต้องตัดปลิโพธขาดทั้ง 2 อย่าง
จึงเดาะกฐิน)
8. รู้จักอานิสงส์ของพระภิกษุเมื่อได้กรานกฐินแล้วมี 5 คือ
1) เที่ยวไปไม่ต้องบอกลาตามสิกขาบทที่ 6 แห่งอเจลวรรค
ปาจิตติยภัณฑ์
2) จาริกไปไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับ
3) ฉันคณะโภชน์ได้ (นั่งล้อมวงฉันได้)
4) เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา
5) จีวรเกิดขึ้นในที่นั้น เป็นของได้แก่พวกเธอ (ทั้งยังได้โอกาสขยายเขตจีวรกาลไปอีก
4 เดือน)
การถวายผ้ากฐิน
การถวายผ้ากฐิน
ซึ่งหัวใจของกฐิน คือ ผ้า 3 ผืน คือ จีวร สบง สังฆาฏิ ผืนใดผืนหนึ่งในไตรจีวร
ถ้ามากกว่านั้นเป็นอดิเรกจีวร หรือผ้าส่วนเกินเท่านั้น
การถวายผ้ากฐินเป็นการนำผ้ามาถวายแก่พระสงฆ์ในเขตที่กำหนดไว้เท่านั้นเลยเวลาไปไม่ได้
ส่วนวัดที่จะรับกฐินได้จะต้องมีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาจำนวน 5 รูป หรือ 5 รูปขึ้นไปครบองค์สงฆ์
จึงจะเป็นกฐินและจะต้องรับกฐินที่อาวาสของตัวเองเท่านั้นจึงจะถูกต้อง
พระรูปเดียวที่จำพรรษาอยู่ในอาวาสหนึ่งอาวาสใด
ถ้ารับกฐินก็จะเรียกว่ารับกฐินไม่ได้ เพราะว่าไม่ครบองค์สงฆ์
หรือมีการทอดกฐินกันจำนวนร้อยวัดแต่กลับไปถวายอยู่วัดเดียวโดยให้พระสงฆ์ที่จำพรรษาวัดอื่นมารับที่วัดนั้นอันมิใช่อาวาส
ที่จำพรรษาของตัวเองยิ่งผิด ผ้า เป็นนิสัคคีย์
พระสงฆ์ที่ใช้ผ้าเป็นอาบัติปาจิตตีย์ อานิสงส์กฐินจึงไม่ขึ้นเป็นแต่เพียงผ้าป่า
และก็ผิดพุทธานุญาต ผิดวัตถุประสงค์ ซึ่งจะอ้างว่าเป็นประเทศปลายแดนไม่ได้
ก็ควรจะถวายเป็นผ้าป่าไปก็ไม่ได้เสียหายอะไร
เพียงแต่ทำให้ถูกต้องตามพุทธประสงค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงบัญญัติไว้
ก็ถือว่าเป็นบุญบริสุทธิ์
อีกคำหนึ่งที่จะได้ยินในขณะที่มีพิธีการทอดกฐินคือคำว่า อปโลกน์กฐิน หมายถึงการที่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง
เสนอขึ้นในที่ประชุมสงฆ์ถามความเห็นชอบว่าควรมีการกรานกฐินหรือไม่
เมื่อเห็นชอบร่วมกันแล้วจึงหารือกันต่อไปว่า
ผ้าที่ทำสำเร็จแล้วควรถวายแก่ภิกษุรูปใด การปรึกษาหารือ
การเสนอความเห็นเช่นนี้เรียกว่า อปโลกน์(อ่านว่า อะ-ปะ-โหลก) หมายถึง การช่วยกันมองดูว่าจะสมควรอย่างไร
เพียงเท่านี้ก็ยังใช้ไม่ได้ เมื่ออปโลกน์เสร็จแล้ว ต้องสวดประกาศเป็นการสงฆ์
จึงนับว่าเป็นสังฆกรรมเรื่องกฐิน ดังกล่าวไว้แล้วในตอนต้น