ประวัติ คำสอนของพระอาจารย์สิม พุทธาจาโร
พระอริยสงฆ์ไทยในยุคปัจจุบัน
จัดทำโดย อ.สุชาติ ภูวรัตน์
นธ.เอก, บาลีประโยค 1-2
(อดีตพระธรรมทูตต่างประเทศ)
B.S. Engineering Design Tech.
B.A. ศาสนศาสตร์บัณฑิต
B.S. Computer Information Systems
B.TM. แพทย์แผนไทยบัณฑิต
สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ
บ.ภ., พท.ว., พท.ผ., พท.น.
ครูแพทย์แผนไทย 4 ด้าน
ศูนย์การแพทย์แผนไทยภูเก็ต
ทำเพื่อการศึกษาและประโยชน์แก่ผู้ชม
ประวัติพระอาจารย์สิม
พุทธาจาโร
ชีวิตในปฐมวัย
ท่านมีนามเดิมว่า สิม วงศ์เข็มมา เกิดเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2452 ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 ปีระกา เวลาประมาณ 21.00 น. ที่บ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร บิดามารดาชื่อ นายสาน - นางสิงห์คำ วงศ์เข็มมา มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 10 คน ท่านเป็นคนที่ 5 สกุล "วงศ์เข็มมา" เป็นสกุลเก่าแก่สกุลหนึ่งของบ้านบัว ผู้เป็นต้นสกุล คือ ท่านขุนแก้ว และ อิทปัญญา น้องชาย ตัวท่านขุนแก้วก็คือ ปู่ของหลวงปู่สิมนั่นเอง
ท่านมีนามเดิมว่า สิม วงศ์เข็มมา เกิดเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2452 ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 ปีระกา เวลาประมาณ 21.00 น. ที่บ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร บิดามารดาชื่อ นายสาน - นางสิงห์คำ วงศ์เข็มมา มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 10 คน ท่านเป็นคนที่ 5 สกุล "วงศ์เข็มมา" เป็นสกุลเก่าแก่สกุลหนึ่งของบ้านบัว ผู้เป็นต้นสกุล คือ ท่านขุนแก้ว และ อิทปัญญา น้องชาย ตัวท่านขุนแก้วก็คือ ปู่ของหลวงปู่สิมนั่นเอง
ในคืนที่พระอาจารย์สิมเกิด ประมาณเวลา 1 ทุ่ม
โยมมารดาของท่านเคลิ้ม หลับไป
ก็ได้ฝันเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งมีรัศมีกายสุกสว่างเปล่งปลั่งแลดูเย็นตาเย็นใจ
อย่างบอกไม่ถูก ลอยลงมาจากท้องฟ้าลงสู่กระต็อบกลางทุ่งนาของนาง ต่อมาเวลาประมาณ 3 ทุ่ม นางสิงห์คำก็ให้กำเนิดเด็กน้อยผิวขาวสะอาด และจากนิมิตที่นางเล่าให้ฟัง นายสานผู้เป็นบิดาจึงได้ตั้งชื่อลูกชายว่า
"สิม" ซึ่งภาษาอีสานหมายถึง โบสถ์
อันอาจบ่งบอกถึงความใกล้ชิดพระพุทธศาสนา
ต่อมาพระอาจารย์สิม ก็ได้ครอง ผ้ากาสาวพัสตร์
บำเพ็ญสมณธรรม ใช้ชีวิตที่ขาวสะอาดหมดจดตลอดชั่วอายุขัยของท่าน
เมื่อเริ่มเข้ารุ่นหนุ่ม อายุ 15 - 16 ปี ท่านมีความสนใจในดนตรีอยู่ไม่น้อย พระอาจารย์แว่น ธนปาโล เล่าว่า ตัวท่านเองเป็นหมอลำ ส่วนพระอาจารย์สิมเป็นหมอแคน
สิ่งบันดาลใจให้พระอาจารย์สิมอยากออกบวชคือ ความสะดุ้งกลัวต่อความตาย ท่านเล่าว่า "ตั้งแต่ยังเด็กแล้วเมื่อได้เห็น หรือได้ข่าวคนตาย มันให้สะดุ้งใจ ทุกครั้ง กลัวว่าเราจะตายเสียก่อนได้ออกบวช" มรณานุสติได้เกิดขึ้นในใจของท่านอยู่ตลอดเวลา เฝ้าย้ำเตือนให้ท่านไม่ประมาท ในชีวิต ไม่ประมาทในวัยไม่ประมาทในความตาย
เพราะพระอาจารย์สิมกำหนด "มรณัง เม ภวิสสะติ" ของท่าน มานานแล้วนั่นเอง ตั้งแต่ยังไม่ได้ออกบวชจวบจนสิ้นอายุขัย ของท่าน พระอาจารย์สิมก็ยังใช้อุบายธรรมข้อเดียวกันนี้อบรมลูกศิษย์ลูกหาอยู่เป็นประจำ เรียกว่า พระอาจารย์สิมเทศนาแสดงธรรมครั้งใด มักจะมี "มะระณัง เม ภะวิสสะติ" เป็นสัญญาณเตือนภัย จากพญามัจจุราชให้ลูกศิษย์ลูกหาตื่นตัวอยู่เสมอทุกครั้ง
สิ่งบันดาลใจให้พระอาจารย์สิมอยากออกบวชคือ ความสะดุ้งกลัวต่อความตาย ท่านเล่าว่า "ตั้งแต่ยังเด็กแล้วเมื่อได้เห็น หรือได้ข่าวคนตาย มันให้สะดุ้งใจ ทุกครั้ง กลัวว่าเราจะตายเสียก่อนได้ออกบวช" มรณานุสติได้เกิดขึ้นในใจของท่านอยู่ตลอดเวลา เฝ้าย้ำเตือนให้ท่านไม่ประมาท ในชีวิต ไม่ประมาทในวัยไม่ประมาทในความตาย
เพราะพระอาจารย์สิมกำหนด "มรณัง เม ภวิสสะติ" ของท่าน มานานแล้วนั่นเอง ตั้งแต่ยังไม่ได้ออกบวชจวบจนสิ้นอายุขัย ของท่าน พระอาจารย์สิมก็ยังใช้อุบายธรรมข้อเดียวกันนี้อบรมลูกศิษย์ลูกหาอยู่เป็นประจำ เรียกว่า พระอาจารย์สิมเทศนาแสดงธรรมครั้งใด มักจะมี "มะระณัง เม ภะวิสสะติ" เป็นสัญญาณเตือนภัย จากพญามัจจุราชให้ลูกศิษย์ลูกหาตื่นตัวอยู่เสมอทุกครั้ง
บรรพชา ปฏิบัติธรรม
เมื่อท่านอายุ 17 ปี ได้ขอบิดามารดาบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดศรีรัตนาราม
ซึ่งเป็นวัดมหานิกาย ณ บ้านบัว นั้นเอง ตรงกับวันที่ 8 กรกฎาคม 2469 ตรงกับวัน
อาทิตย์ แรม 7 ค่ำ เดือน 8 ปีมะโรง โดยมีพระอาจารย์สีทอง เป็นพระอุปัชฌาย์
ต่อมาคณะกองทัพธรรมของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้เดินธุดงค์มาจากจังหวัดหนองคาย
เพื่อมาเผยแพร่ธรรมปฏิบัติแก่ประชาชน โดยเดินทางมาถึงวัดศรีสงคราม ตำบลสามผง
อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม
พระอาจารย์สิมในสมัยเป็นสามเณร ได้มีโอกาสเดินทางไปฟังธรรม ทั้งจากพระอาจารย์ใหญ่ คือ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม และท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพะโล พระอาจารย์สิมในสมัยที่เป็นสามเณรได้เฝ้าสังเกต ข้อวัตรปฏิบัติของท่านพระอาจารย์มั่น ท่านพระอาจารย์สิงห์ และพระอาจารย์ มหาปิ่น และได้บังเกิดความเลื่อมใสอย่างมาก จึงตัดสินใจขอถวายตัวเป็นศิษย์ พระอาจารย์มั่น และได้ขอญัตติใหม่มาเป็นธรรมยุติกนิกาย
พระอาจารย์สิมในสมัยเป็นสามเณร ได้มีโอกาสเดินทางไปฟังธรรม ทั้งจากพระอาจารย์ใหญ่ คือ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม และท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพะโล พระอาจารย์สิมในสมัยที่เป็นสามเณรได้เฝ้าสังเกต ข้อวัตรปฏิบัติของท่านพระอาจารย์มั่น ท่านพระอาจารย์สิงห์ และพระอาจารย์ มหาปิ่น และได้บังเกิดความเลื่อมใสอย่างมาก จึงตัดสินใจขอถวายตัวเป็นศิษย์ พระอาจารย์มั่น และได้ขอญัตติใหม่มาเป็นธรรมยุติกนิกาย
แต่ในขณะนั้นยัง
ไม่มีโบสถ์ของวัดฝ่ายธรรมยุตในละแวกนั้น การประกอบพิธีกรรมจึงต้องจัดทำที่โบสถ์น้ำ
ซึ่งทำจากเรือ / ลำ ทำเป็นโป๊ะลอยคู่กัน เอาไม้พื้นปูตรึงเป็นพื้นแต่ไม่มีหลังคา
สมมติเอาเป็นโบสถ์ โดยท่านพระอาจารย์มั่นฯ เป็นประธาน และเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล)
เป็นพระอุปัชฌาย์ ที่วัดป่าบ้านสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม
จากนั้นพระอาจารย์สิมในสมัยที่เป็นสามเณรได้ติดตามพระอาจารย์มั่นไปอยู่จำพรรษาที่ วัดป่าบ้านข่า
ตำบลบ้านข่า อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม
เมื่อพระอาจารย์สิมในสมัยสามเณรอายุครบบวช ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดศรีจันทราวาส ตำบลพระลับ
อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ในวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2472 ตรงกับ วันอังคารขึ้น 10 ค่ำ เดือน 8 ปีมะเส็ง โดยมีเจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์ (จันทร์ เขมิโย)
เมื่อครั้งยังเป็นพระครูพิศาลอรัญญเขต เจ้าคณะธรรมยุติจังหวัดขอนแก่น
เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระปลัดดวงจันทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "พุทธาจาโร"
หลังจากนั้นท่านก็ได้เดินทางติดตามพระอาจารย์ของท่าน คือ พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ไปจำพรรษาที่วัดป่าวิเวกธรรม (วัดป่าบ้านเหล่างา) อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น วัดป่าบ้านเหล่างานี้เป็นวัดอยู่ในเขตป่าช้า (บริเวณโรงพยาบาลขอนแก่นในปัจจุบัน) ซึ่งท่านพระอาจารย์สิงห์ และ ท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นสำนักอบรมกรรมฐาน แก่ญาติโยมชาวขอนแก่น
หลังจากนั้นท่านก็ได้เดินทางติดตามพระอาจารย์ของท่าน คือ พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ไปจำพรรษาที่วัดป่าวิเวกธรรม (วัดป่าบ้านเหล่างา) อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น วัดป่าบ้านเหล่างานี้เป็นวัดอยู่ในเขตป่าช้า (บริเวณโรงพยาบาลขอนแก่นในปัจจุบัน) ซึ่งท่านพระอาจารย์สิงห์ และ ท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นสำนักอบรมกรรมฐาน แก่ญาติโยมชาวขอนแก่น
ท่านพระอาจารย์สิงห์ ได้ออกอุบายสอนลูกศิษย์ของท่านให้ได้พิจารณา
อสุภกรรมฐานจากซากศพ โดยพาพระเณรไปขุดศพขึ้นมาพิจารณา พระอาจารย์สิมได้เล่า
ประสบการณ์ที่ท่านได้อสุภกรรมฐานจากซากศพว่า "นี่แหละร่างกายนั้น
พระพุทธองค์ท่านจึงทรงสอนให้กำหนดเป็นอสุภกรรมฐาน อย่าไปเห็นว่ารูป ไม่ว่ารูปหญิงรูปชาย
ให้เข้าใจว่าเป็นอันเดียวกัน ไม่มีใครสวยใครงามกว่ากัน"
"โลกสมมติว่าสวยว่างาม แต่ฝ่ายธรรมว่าไม่สวยงาม
อสุภัง มะระณัง ทั้งนั้น ถึงมันจะยังไม่ตาย ตอนเด็กตอนหนุ่มก็เถอะ ไม่นานละ
เดี๋ยวมันก็ทยอยตายไปทีละคน สองคน หมดไป สิ้นไป ไม่เหลือ"
ในชีวิตสมณะของท่านพระอาจารย์สิม ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ว่า "โสสานิ กังคะ" คือไปเยี่ยมป่าช้าเป็นธุดงควัตร
และที่วัดป่าเหล่างานี้เอง
ที่พระอาจารย์สิมได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมอย่างใกล้ชิดกับท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม
เป็นเวลานาน ๓ - ๔ ปี ทั้งได้มีโอกาสมักคุ้นกับพระกรรมฐานองค์สำคัญๆ หลายองค์ เช่น พระอาจารย์เทศก์ เทสรังสี, พระอาจารย์ขาว อนาลโย, พระอาจารย์ฝั้น
อาจาโร,พระอาจารย์อ่อน
ญาณสิริ, พระอาจารย์ลี ธัมมธโร, ท่านพระอาจารย์มหาบัว
ญาณสัมปันโน เป็นต้น
ในปี พ.ศ. 2479 (พรรษาที่ 8) เมื่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสโส)
แห่งวัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมเยือนพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโมที่วัดจักราช
สมเด็จฯ
ท่านได้แลเห็นจริยาวัตรของพระอาจารย์สิมขณะทำหน้าที่อุปัฏฐากรับใช้และเกิดชื่นชอบถูกใจ
ถึงกับปรารถนาจะชวนพระอาจารย์สิมไปอยู่ด้วย กับท่าน จึงเอ่ยปากขอตัวพระอาจารย์สิมกับท่านพระอาจารย์สิงห์
ว่า "พระองค์นี้มีลักษณะเป็นผู้มีบุญบารมี
ผมจะขอตัวให้ไปอยู่ด้วยจะขัดข้องหรือเปล่า"
ซึ่งท่านพระอาจารย์สิงห์ท่านก็มิได้ขัดข้อง ด้วยเห็นเป็นวาสนาบารมีของพระอาจารย์สิม ที่จะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับพระเถระผู้ใหญ่เยี่ยงท่านสมเด็จฯ นี้ ทั้งจะได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมวินัยให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป
พระอาจารย์สิม พุทธาจาโร จึงได้ร่วมเดินทางมากับสมเด็จฯ ที่วัดบรมนิวาส มาจำพรรษาและศึกษาพระธรรมวินัย ในสำนักสมเด็จฯ ทำให้พระอาจารย์สิม ได้รับความรู้แตกฉานในพระธรรมวินัยมากขึ้น พระอาจารย์สิมอยู่รับใช้สมเด็จฯด้วยจริยา ดีเยี่ยม พร้อมกันนั้นหลวงปู่ก็ได้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของ พระธุดงค์กรรมฐานให้แก่พระเณรจำนวนมากที่มารับการฝึกฝนอบรมจากพระอาจารย์สิม
พระอาจารย์สิม พุทธาจาโร จึงได้ร่วมเดินทางมากับสมเด็จฯ ที่วัดบรมนิวาส มาจำพรรษาและศึกษาพระธรรมวินัย ในสำนักสมเด็จฯ ทำให้พระอาจารย์สิม ได้รับความรู้แตกฉานในพระธรรมวินัยมากขึ้น พระอาจารย์สิมอยู่รับใช้สมเด็จฯด้วยจริยา ดีเยี่ยม พร้อมกันนั้นหลวงปู่ก็ได้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของ พระธุดงค์กรรมฐานให้แก่พระเณรจำนวนมากที่มารับการฝึกฝนอบรมจากพระอาจารย์สิม
ในปี พ.ศ. 2480 เมื่อออกพรรษาแล้วพระอาจารย์สิมได้เรียนขออนุญาตต่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์
เดินทางธุดงค์กลับถึงบ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
เพื่อโปรดญาติโยมที่บ้านเกิดตามคำอาราธนา และเมื่อพระอาจารย์สิมปรารภ
ที่จะให้มีวัดป่าธรรมยุติกนิกายขึ้นเป็นวัดแรกในบ้านบัว ญาติโยม จึงต่างสนองตอบ
คำปรารภของพระอาจารย์สิมอย่างกระตือรือร้นและเต็มอกเต็มใจ โยมอาของท่าน คือนางคำไพ
ทุมกิจจะ ได้มีศรัทธาถวายที่ดินให้หลวงปู่ จัดสร้างเป็นสำนักสงฆ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2480 สำนักสงฆ์นี้ปัจจุบันได้พัฒนาเป็น "วัดสันติสังฆาราม"
พร้อมด้วยวัดและสำนักสงฆ์ สาขา เกิดอีก 9 แห่ง
วัดสันติสังฆาราม จังหวัดสกลนครนี้พระอาจารย์สิมได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างพระอุโบสถตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 จนแล้วเสร็จ
และได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย
สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
เสด็จมาฝังลูกนิมิตในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2523 ในโอกาสเดียวกับงานอายุครบ 71 พรรษา
ของพระอาจารย์สิม
พระอาจารย์สิม ได้ธุดงค์ไปหลายจังหวัด เช่น วัดป่าสระคงคา อำเภอหล่มสัก
จังหวัดเพชรบูรณ์ สำนักสงฆ์หมู่บ้านแม่ดอย (ต่อมาได้พัฒนาเป็นวัด ชื่อว่า
วัดป่าพระอาจารย์มั่น) อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ (ณ ที่นี้พระอาจารย์สิมได้พบพระอาจารย์มั่นฯ และได้รับคำแนะนำเพิ่มเติมจากพระอาจารย์มั่น จนการปฏิบัติธรรม
ของพระอาจารย์สิมก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก) เมื่อแยกจากพระอาจารย์มั่นแล้ว พระอาจารย์สิมได้เดินธุดงค์
ไปทางอำเภอสันกำแพง เข้าพักที่ วัดโรงธรรม ซึ่งขณะนั้น ยังเป็นสำนักชั่วคราว
ที่วัดโรงธรรมสามัคคีนี้ เคยเป็นสถานที่ที่พระครูอาจารย์หลายท่านเคยใช้พักจำพรรษา เช่น พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต, พระอาจารย์ชอบ ฐานสโม, พระอาจารย์แหวน
สุจิณโณ, พระอาจารย์กู่
ธัมมะทินโน และพระอาจารย์ตื้อ อจลธัมโม เป็นต้น
พระอาจารย์สิมได้พักจำพรรษาที่วัดโรงธรรมสามัคคี แห่งนี้
ติดต่อกันนานถึงห้าปี คือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2483 ถึงปี พ.ศ. 2487 จึงย้ายไปจำพรรษาที่ ถ้ำผาผัวะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บ้านเมืองอยู่ในสภาพหลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 ในระหว่างนั้นพระอาจารย์สิมได้รับรู้ความคับจิตคับใจของบรรดาชาวบ้านทั้งหลาย พระอาจารย์สิมได้ปลุกปลอบใจของชาวบ้านที่กำลังสิ้นหวังให้กลับมีชีวิตชีวาขึ้น
ด้วยการหยั่งพระสัทธรรมลงสู่จิตของพวกเขา
ในขณะออกพรรษา พระอาจารย์สิมได้จาริกธุดงค์ไปบำเพ็ญเพียร ณ สถานที่วิเวกหลายแห่งในเขตจังหวัดเชียงใหม่
ศิษย์อาวุโสชาวเชียงใหม่ท่านหนึ่งคือ เจ้าชื่น สิโรรส (วัย 96 ปี) โดยในปี พ.ศ. 2488 เจ้าชื่น สิโรรส ได้อพยพครอบครัวหลบภัยสงครามไปอยู่ที่ถ้ำผาผัวะ
ขณะที่พระอาจารย์สิมธุดงค์ ไปจำพรรษาที่ถ้ำผาผัวะนี้ ท่านเปรียบเสมือนที่พึ่งอันสูงสุดที่มีความหมายมาก
สำหรับคนที่อยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด เนื่องจากสงคราม
ปลายปี พ.ศ. 2498 เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพาใกล้จะยุติ เจ้าชื่น สิโรรส ซึ่งอพยพจากถ้ำผาผัวะ กลับคืน ตัวเมืองเชียงใหม่ ได้กราบอาราธนาพระอาจารย์สิมให้ย้ายเข้ามาพักจำพรรษา ที่ตึกของแม่เลี้ยงดอกจันทร์ กีรติปาล (คิวริเปอร์) ซึ่งอยู่ที่ถนนดอยสุเทพตรงข้าง กับถนนไปสนามบินเมืองเชียงใหม่ ปัจจุบันคือที่ตั้งของ ศูนย์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ปลายปี พ.ศ. 2498 เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพาใกล้จะยุติ เจ้าชื่น สิโรรส ซึ่งอพยพจากถ้ำผาผัวะ กลับคืน ตัวเมืองเชียงใหม่ ได้กราบอาราธนาพระอาจารย์สิมให้ย้ายเข้ามาพักจำพรรษา ที่ตึกของแม่เลี้ยงดอกจันทร์ กีรติปาล (คิวริเปอร์) ซึ่งอยู่ที่ถนนดอยสุเทพตรงข้าง กับถนนไปสนามบินเมืองเชียงใหม่ ปัจจุบันคือที่ตั้งของ ศูนย์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ณ ที่นี้ พระอาจารย์สิมพบกับลูกศิษย์ คนแรกที่อุปสมบทที่เชียงใหม่คือ
พระมหาทองอินทร์ กุสลจิตโต ซึ่งต่อมาก็ได้เป็นเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันของวัด
"สันติธรรม" ซึ่งได้ทำการก่อสร้างขึ้นในภายหลัง ปี พ.ศ. 2490 เมื่อสงครามสงบโดยสิ้นเชิง มีข่าวว่า เจ้าของบ้านคือ แม่เลี้ยง ดอกจันทร์
และลูกหลานที่อพยพหลบภัยสงครามไปจะกลับคืน ถิ่นฐานเดิม พระอาจารย์สิมจึงปรารภเรื่องการสร้างวัด
คำปรารภในครั้งนั้น เป็นแรงบันดาลใจ ให้คุณแม่นิ่มนวล สุภาวงศ์
เกิดศรัทธาขึ้นมาอย่างแรงกล้า ที่จะสร้างวัดถวายพระอาจารย์สิมด้วยพลังศรัทธานั้นเอง
"วัดสันติธรรม" จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมาโดยอาศัยกำลังศรัทธา ของสานุศิษย์
ในปี พ.ศ. 2497 โยมมารดาของพระอาจารย์สิมถึงแก่กรรม ท่านจึงได้เดินทาง จากเชียงใหม่ลงมาที่บ้านบัวอีกครั้งหนึ่ง
ครั้นเสร็จงานฌาปนกิจศพโยมมารดาแล้วพระอาจารย์สิมก็ออกเดินธุดงค์ ไปจังหวัดนครพนมทันที
เพื่อจำพรรษาที่ภูลังกา
ในระหว่างปี พ.ศ. 2498-2503 พระอาจารย์สิมได้กลับไปพักจำพรรษาที่วัดสันติธรรม
จังหวัดเชียงใหม่ แต่ในจิตใจส่วนลึกของท่านนั้น
ยังปรารภความสงบวิเวกของป่าเขาและโพรงถ้ำต่างๆ อยู่ จนต้นปี พ.ศ. 2503 ต่อมาได้มีพระลูกศิษย์ของพระอาจารย์สิม ไปพบ ถ้ำปากเปียง ซึ่งอยู่ที่ตำบลบ้านถ้ำ อำเภอเชียงดาว
จังหวัดเชียงใหม่ พระอาจารย์สิมจึงย้ายไปอยู่ภาวนาที่ถ้ำปากเปียงบ่อยครั้ง
ด้วยเป็นที่สงบสงัดร่มรื่น
ต่อมาในฤดูหนาว ปี พ.ศ. 2503 ลุงติ๊บ คนบ้านถ้ำ ได้เป็นคนนำทาง พาพระอาจารย์สิมปีนป่ายภูเขาขึ้นไปตามซอกเล็กๆ เพื่อหาถ้ำที่กว้างและอยู่สูง ตามคำปรารภของพระอาจารย์สิมที่ว่า "กิเลสจะได้เข้าหายาก" จนกระทั่งได้พบถ้ำผาปล่อง ซึ่งเป็นถ้ำที่ท่านคิดว่าจะเป็นบ้านสุดท้ายในการบำเพ็ญภาวนาในชีวติของท่าน หลวงปู่ได้ พักค้างคืนบนถ้ำผาปล่องหนึ่งคืน แล้วก็ลงไปพักที่ถ้ำปากเปียงต่อ ต่อจากนั้นท่านก็ได้แวะเวียนไปพักที่ถ้ำผาปล่องอีกเสมอ
ต่อมาในฤดูหนาว ปี พ.ศ. 2503 ลุงติ๊บ คนบ้านถ้ำ ได้เป็นคนนำทาง พาพระอาจารย์สิมปีนป่ายภูเขาขึ้นไปตามซอกเล็กๆ เพื่อหาถ้ำที่กว้างและอยู่สูง ตามคำปรารภของพระอาจารย์สิมที่ว่า "กิเลสจะได้เข้าหายาก" จนกระทั่งได้พบถ้ำผาปล่อง ซึ่งเป็นถ้ำที่ท่านคิดว่าจะเป็นบ้านสุดท้ายในการบำเพ็ญภาวนาในชีวติของท่าน หลวงปู่ได้ พักค้างคืนบนถ้ำผาปล่องหนึ่งคืน แล้วก็ลงไปพักที่ถ้ำปากเปียงต่อ ต่อจากนั้นท่านก็ได้แวะเวียนไปพักที่ถ้ำผาปล่องอีกเสมอ
ในปี พ.ศ. 2504 ท่านพระอาจารย์ลี ธัมมธโร (ท่านเจ้าคุณวิสุทธิธรรม รังสี)
เจ้าอาวาส วัดอโศการาม ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมือง จังหวัด สมุทรปราการ
ซึ่งเป็นศิษย์ในสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เช่นกัน ได้ถึงแก่มรณภาพ
ทางคณะสงฆ์จึงลงมติขอให้พระอาจารย์สิมรับตำแหน่งรักษาการ เจ้าอาวาส ท่านจึงได้ช่วยอยู่ดูแลวัดอโศการาม ในฐานะรักษาการเจ้าอาวาส จนกระทั่งปี พ.ศ. 2508 และในปี พ.ศ. 2509 พระอาจารย์สิมได้รับการขอร้องจาก ท่านเจ้าคุณนิโรธธรรมรังษี ให้พระอาจารย์สิมช่วยรับตำแหน่งรักษาการ เจ้าอาวาส วัดป่าสุทธาวาส พระอาจารย์สิมจึงจำใจต้องรับเป็นเจ้าอาวาส ให้วัดป่าสุทธาวาสอยู่ 1 พรรษา
โดยที่ใจจริงของท่านนั้นเบื่อหน่าย คิดอยากแต่จะออกธุดงค์อยู่เรื่อยไป
ในระหว่าง พ.ศ. 2506-2509 หลวงปู่ได้มีปัญหาอาพาธด้วยโรคไตมาตลอด
จนกระทั่งปี พ.ศ. 2510 ด้วยปัญหาสุขภาพของหลวงปู่ หลวงปู่จึงได้ตัดสินใจวาง
ภารกิจต่างๆ โดยลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสทุกวัดที่ท่านดูแลอยู่ จากนั้น ท่านก็มาจำพรรษา
ณ ถ้ำผาปล่องตลอดมา
ในปี พ.ศ. 2518 พระอาจารย์สิมได้เดินทางไปสังเวชนียสถานที่อินเดียและได้เดินทางไปอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2523 นอกจากนี้แล้วพระอาจารย์สิมยังได้มีโอกาส เดินทางไปที่ปีนัง ประเทศมาเลเซีย
กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตลอดถึงทวีปยุโรป และอเมริกาอีกด้วย
พระอาจารย์สิมท่านมีความขยันและตั้งใจมั่นตั้งแต่เด็กดังเช่น
พระอาจารย์ศรีทอง (พระอุปัชฌาย์ เมื่อครั้งเป็นมหานิกาย) ได้เล่าว่า
ครั้งเมื่อทางวัดมีการขุดสระ พระอาจารย์สิมในขณะที่เป็นสามเณรก็ไปช่วยขุดและขุดจนกระทั่งใครต่อใครเขาทิ้งงานไปหมด
เนื่องจากขุดลงไปลึกถึงสิบเอ็ดสิบสองวาแล้ว ก็ยังไม่มีน้ำ เมื่ออุปัชฌาย์ถามว่า
"จะขุดไปถึงไหนกัน" พระอาจารย์สิมโนสมัยที่เป็นสามเณรตอบว่า
"ขุดไปจนสุดแผ่นดินนั่นแหละ"
ปฏิปทาของพระอาจารย์สิมที่แสดงถึงความมีเมตตาอย่างล้นเหลือต่อลูกศิษย์
ได้แสดงให้เห็นอยู่เนืองๆ พระอาจารย์สิมปกครองพระเณรลูกวัดของท่านอย่างอบอุ่น
ใกล้ชิดเหมือนพ่อดูแลลูกๆ
ภาพในอดีตที่ประทับใจลูกศิษย์ (คุณแม่นิ่มนวล
สุภาวงศ์) ภาพหนึ่งก็คือ เวลาที่พระเณรอาพาธ พระอาจารย์สิมจะนั่งเฝ้าไข้อย่างสงบ
ไม่ยอมห่างจนกระทั่ง ผู้ป่วยอาการดีขึ้น
ครั้งหนึ่งเณรน้อยนอนซมด้วยโรคพยาธิตัวเหลืองซูบซีดผอม เพราะฉัน อาหารไม่ได้เลย
"แม่ไล" ได้เอายาถ่ายพยาธิมาถวาย เณรน้อยก็ฉันไม่ได้ อาเจียนออกมา
ทำให้แม่ไลโมโหมากจะบังคับให้ฉันให้ได้ แต่พระอาจารย์สิมซึ่งนั่งเฝ้า
อยู่อย่างใจเย็นได้ปลอบประโลมเณรน้อยของท่านขึ้นว่า "วันพรุ่งนี้เถอะเน้อ
ไปบิณฑบาตได้กล้วยก่อน จะเอายาใส่ในกล้วยให้เณรน้อยฉัน"
งานพัฒนาชุมชนที่นับว่าเป็นงานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่ง
ของพระอาจารย์สิมซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพร้อมเพรียงร่วมแรงร่วมใจกัน
ทั้งฝ่ายบรรพชิตและฆราวาส และผลงานก็ได้ก่อประโยชน์เป็นเอนกอนันต์
แก่ชาวบ้านเกษตรกร ก็คือ งานสร้างฝายน้ำล้น ลำน้ำอูน ที่ท่าวังหิน ซึ่งก็คือบริเวณ
สำนักสงฆ์เวฬุ วัดสันติวรญาณ ในปัจจุบัน โดยในปี พ.ศ. 2521 ภายหลังจำพรรษา
ที่วัดสันติสังฆาราม พระอาจารย์สิมก็ได้รับอาราธนาจากชาวบ้านทั้ง 4 ตำบล ใน 2 เขตอำเภอ
ให้มาเป็นประธานในการสร้างฝายน้ำล้นกั้นลำน้ำอูน งานสร้างฝายน้ำล้นชิ้นนี้
สะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกลักษณะของพระอาจารย์สิมเด่นชัดมาก ในเรื่องความเป็นผู้เอาใจใส่
และรับผิดชอบในภารกิจ เมื่อที่ประชุมปรึกษาหารือกันว่าเห็นควรจะเริ่มงานกันวันใหม่ พระอาจารย์สิมก็ว่าให้เริ่มงานกันวันนี้เลย
พระอาจารย์สิมเป็นผู้มีความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง อดทน พูดจริง ทำจริง
ถือสัจจะมั่นคง เป็นผู้ไม่มากโวหาร ทุกวันพระอาจารย์สิมจะพาเริ่มงานตั้งแต่ตี 4 ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นพอ 10 โมงเช้า จึงพักฉันอาหาร
หลังอาหารแล้วก็เริ่มทำงานกันต่อจนมืดค่ำ พอถึงเวลา 1 ทุ่ม พระอาจารย์สิมก็จะพาสวดมนต์และฟังเทศน์ เสร็จแล้ว ก็เริ่มทิ้งหินลงในคอกไม้ที่สร้างไว้
ตลอดแนวฝาย กว่าจะได้จำวัดก็ 4 ทุ่ม หรือบางวัน งานจะติดพันจนถึงตีหนึ่งตีสอง
เป็นดังนี้ตลอดระยะเวลา 4 เดือน นับตั้งแต่ เดือนมกราคม จนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2521 จนฝายน้ำล้นสร้างสำเร็จพระอาจารย์สิมจึงกลับไปจำพรรษาที่ถ้ำผาปล่อง
พระอาจารย์สิมได้รับสมณศักดิ์ "พระครูสันติวรญาณ" ในวันที่ 5 ธันวาคม 2502 และได้รับพัดยศโดยเลื่อนจากสมณศักดิ์ที่ "พระครูสันติวรญาณ" เป็น
"พระญาณสิทธาจารย์" ในวันที่ 12 สิงหาคม 2535 และในคืนวันที่ 13 สิงหาคม 2535 พระเณรพร้อมด้วยอุบาสกอุบาสิกา ได้พร้อมใจกันเจริญพระพุทธมนต์
ฉลองสมณศักดิ์ถวายพระอาจารย์สิม ที่ถ้ำผาปล่อง หลังจากเจริญพระพุทธมนต์พระอาจารย์สิมได้พาพระเณรและญาติโยมนั่งภาวนา
ต่อจนถึงเวลาประมาณ 21.30 น. แล้วท่านก็นั่งพักดู บริเวณ ภายในถ้ำอีกประมาณ 20 นาที คล้ายกับจะเป็นการอำลา จนถึงเวลา 22.00 น.
ท่านจึงกลับเข้ากุฏิที่พักด้านหลังภายในถ้ำผาปล่อง และได้มรณภาพในเวลาประมาณ ตีสาม
สิริรวมอายุของหลวงปู่ 82 ปี 9 เดือน 19 วัน อายุพรรษา 63 พรรษา
ได้ไปเคารพศพ พระอาจารย์สิม พุทธาจาโร ที่ถ้ำผาปล่อง ท่านเคยบอกว่า "บวชแล้วอย่าสึกนะ"
ท่านคงมีญาณหยั่งรู้ แต่ก็มีเหตุจำเป็น เมื่อกลับมาเยี่ยมแม่ที่บ้านท้ายเหมือง เห็นแม่เฝ้ายายๆ เดินไม่ได้ ตามองไม่เห็น แม่ก็อายุมากแล้ว อายุต่างกับยาย 15 ปี ยายมีอายุ 90 กว่าปีแล้ว
จึงตัดสินใจลาสิกขา เพื่อรับหน้าที่แทนคุณแม่ๆได้พายายมาให้ดูแลที่บ้านเชิงทะเล ภูเก็ต พระอาจารย์เจ้าอาวาสวัดควนเขาดิน ท้ายเหมืองก็ไม่ยอมให้ลาสิกขา จึงได้ไปลาสิกขากับเจ้าคณะจังหวัด ที่วัดถาวรคุณาราม อ. เมือง จ. ภูเก็ต พระอาจารย์ชาลีเจ้าคณะจังหวัด ได้บอกว่า ให้กลับมาบวชเป็นพระได้อีก
ลานเจดีย์ ถ้ำผาปล่อง ต. บ้านถ้ำ อ. เชียงดาว จ. เชียงใหม่
ถ้ำผาปล่อง ต. บ้านถ้ำ อ. เชียงดาว จ. เชียงใหม่
พระธรรมเทศนา
พุทธาจารานุสรณ์
คำว่า จิต ได้แก่ ดวงจิต ดวงใจผู้รู้อยู่
ผู้เห็นอยู่ ผู้ได้ยินได้ฟังอยู่ เราฟังเสียง ได้ยินเสียง
ใครเป็นผู้รู้อยู่ในตัวในใจ นั่นแหละมันอยู่ตรงนี้ ให้รวมให้สงบเข้ามาอยู่ตรงนี้
ตรงจิตใจผู้รู้อยู่
ตาเห็นรูป ก็จิตดวงนี้เป็นผู้เห็น
ดีใจก็จิตดวงนี้หลงไป เสียใจก็จิตดวงนี้หลงไป เสียงผ่านเข้ามาทางโสต
ทางหูก็จิตดวงเก่านี่แหละ กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็จิตดวงนี้เป็นผู้หลง
เมื่อจิตใจดวงนี้เป็นผู้หลงผู้เมาไม่เข้าเรื่อง เราก็มาแก้ไขภาวนาทำใจให้สงบ
ไม่ให้หันเหไปกับอารมณ์ใดๆ เห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดดับอยู่ในตัว ในใจ ในสัตว์
ในบุคคลนี้ว่า มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็แตกดับไปเป็นธรรมดาอย่างนี้
การปฏิบัติบูชา ภาวนานี้ เป็นการปฏิบัติภายใน
เป็นการเจริญภายใน พุทโธภายใน ให้ใจอยู่ภายใน ไม่ให้จิตใจไปอยู่ภายนอก
การภาวนา ไม่ใช่เป็นของหนัก เหมือนแบกไม้หามเสา
เป็นของเบาที่สุด นึกภาวนาบทใดข้อใด ก็ให้เข้าถึงจิตถึงใจ
จนจิตใจผ่องใสสะอาดตั้งมั่นเที่ยงตรงคงที่อยู่ ภายในจิตใจของตน ใจก็สบาย
นั่งก็สบาย นอนก็สบาย ยืนไปมาที่ไหนก็สบายทั้งนั้น ในตัวคนเรานี้ เมื่อจิตใจสบาย
กายก็พลอยสบายไปด้วย อะไรๆ ทุกอย่างมันก็สบายไป มันแล้วแต่จิตใจ
ทำอย่างไรใจจะสงบระงับ มีอุบายอะไร
ก็อุบายไม่ขึ้เกียจไงละ ให้มีความเพียร จะสู้กับกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ในใจได้
ไปสู้ที่ไหน ก็สู้ด้วยความเพียร สู้ด้วยความตั้งใจมั่น
เราตั้งใจลงไปแล้วให้มันมั่นคง อย่าไปถอย
เพียรพยายามฝึกตนเองอยู่เสมอ
บนแผ่นดินนี้ผู้มีความเพียร ผู้ไม่ท้อแท้อ่อนแอในดวงใจ ไม่ว่าจะทำอะไร
ย่อมสำเร็จได้ ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า เมื่อเห็นแล้วเราต้องตั้งความเพียรลงไป
ภาวนาลงไป เมื่อมันยังไม่ตายจะไปถอยความเพียรก่อนไม่ได้
สู้ด้วยการละทิ้ง อย่าไปยึดเอาถือเอา
เขาว่าให้เรา เขาดูถูกเรา เสียงไม่ดีเข้าหูก็เพียรละออกไปให้มันหมดสิ้น
มนุษย์มีปาก ห้ามมันไม่ให้พูดไม่ได้ มนุษย์มีตา ห้ามไม่ให้มันดูไม่ได้
มันเป็นเรื่องของโลก ท่านจึงตรัสว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันเป็นความร้อน
ความร้อน คือกิเลส กิเลสเหมือนกับไฟ ไฟมันเป็นของร้อน
เราได้คลานภาวนาจนเข่าแตกเลือดออกมีไหม ไม่มี
มีแต่นอนห่มผ้าให้มัน ตลอดคืน มันจะได้สำเร็จมรรคผลอะไร ก็ได้แต่กรรมฐานขี้ไก่
กรรมฐานขี้หมู ไม่ลุกขึ้นภาวนาเหมือนพระแต่ก่อน
พระแต่ก่อนท่านเดินไม่ได้ท่านก็คลานเอา
พุทโธในใจ หลงใหลทำไม ไม่ต้องหลง ไม่ต้องลืม
นั่งก็พุทโธในใจ นอนก็พุทโธในใจ ยืนก็พุทโธในใจ เดินไปไหนมาไหน ก็พุทโธในใจ
กิเลสโลเลละให้หมด โลเลทางตา โลเลทางหู โลเลทางจมูก ทางกลิ่น โลเลในอาหารการกิน
เลิกละให้หมด
ไม่ต้องไปรอท่าว่า
เมื่อถึงวันตายข้าพเจ้าจะภาวนาพุทโธเอาให้ได้ อย่างนี้ไม่ได้ เราต้องทำไว้ก่อน
เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน ตั้งแต่บัดนี้ เดี๋ยวนี้เวลานี้เป็นต้นไป
ความตายนี้ไม่มีใครหลบหลีกได้
ท่านให้นึกให้น้อมให้ได้ว่า ทุกลมหายใจเข้าไปก็เตือนใจของตนให้นึกว่า
นี่ถ้าลมหายใจนี้เข้าไปแล้วออกมาไม่ได้ เกิดติดขัดคนเราก็ตายได้
แม้ลมหายใจออกไปแล้ว เกิดอะไรขัดขึ้นมาสูดลมหายใจเข้า มาไม่ได้คนเราก็ตายได้
เราทุกคนดวงใจที่มีชีวิตอยู่ ณ ภายในนี้
ก็อย่าพากันนิ่งนอนใจ อยู่ที่ไหน กายกับใจอยู่ที่ไหน
ก็ที่นั่นแหละเป็นที่ปฏิบัติบูชาภาวนา อยู่บ้านก็ภาวนาได้ อยู่ วัดก็ภาวนาได้
บวชไม่บวชก็ภาวนาได้ทั้งนั้น
ตั้งจิตดวงนี้ให้เต็ม ในขั้นสมถะกรรมฐาน
พร้อมกับวิปัสสนา กรรมฐาน ให้แจ่มแจ้งในดวงใจทุกคนเท่านั้น ก็พอ
เพราะว่าเมื่อเราเกิดมาทุกคน ก็ไม่ได้มีอะไรติดมา
ครั้งเมื่อเราทุกคนตายไปแล้วแม้สตางค์แดงเดียวก็เอาไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้
จงพากันนั่งสมาธิภาวนาให้เต็มที่จนกิเลสโลภะอันมันนอนเนื่องอยู่ใน
จิตนี้ให้หมดเสียวันนี้ๆ ถ้ากิเลสความโลภนี้ยังไม่หมดจากจิต
ก็ยังไม่หยุดยั้งภาวนาจน วันตายโน้น
การภาวนาละกิเลสให้หมดไปจริงๆ นั้น
ต้องปฏิบัติดังนี้ เมื่อกำหนดรูปร่างกายของเรา
บริกรรมกำหนดลมหายใจจนจิตตั้งมั่นดีแล้ว ต้องกำหนดรูปร่างของเราเอง นับตั้งแต่ ผม
ขน เล็บ ไปตลอดหมดในร่างกายนี้ ให้เห็นตามความเป็นจริง
ที่มันตั้งอยู่และมันเสื่อมไป ด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วยมีทวารทั้ง ๙
เป็นสถานที่ไหลออกไหลเข้าซึ่งของไม่งาม
อันความตายนั้น
จงระลึกดูให้รู้แจ้งด้วยสติปัญญาของตนเอง ยกจิตใจตั้งให้มั่นอย่าได้หวั่นไหว
เจ็บจะเจ็บไปถึงไหนก็แค่ตาย อยู่ดีสบาย อยู่ไปถึงไหนก็แค่ตาย
แก่ชราแล้วไม่ตายไม่ได้ เมื่อมาถึงบุคคลผู้ใดจะให้ผู้อื่นช่วยไม่ได้
ต้องภาวนาให้พ้นจากความตาย ความตายนั้นมีทางพ้นไปได้ อยู่ที่การละกิเลส
ล้างกิเลสในใจให้หมดสิ้น
วันคืนเดือนปี หมดไป สิ้นไป
แต่อย่าเข้าใจว่าวันคืนนั้นหมดไป วันคืนไม่หมด ชีวิตของแต่ละบุคคลหมดไปสิ้นไป
มันหมดไปทุก ลมหายใจเข้าออก ฉะนั้น ภาวนาดูว่า วันคืนล่วงไป เราทำอะไรอยู่
ทำบุญหรือทำบาป เราละกิเลสได้หรือยัง เราภาวนาใจสงบหรือยัง
ทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์อยู่ที่ใจยึดมั่นถือมั่น
ยึดมั่นถือมั่นในชาติตระกูล ในตัว ในตน ในสัตว์ในบุคคล ความยึดอันนี้แหละที่ยึด
ไม่ให้มีทุกข์ให้มีความสุข มันเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับว่าเราจะไม่ให้แก่
ก็แก่เรื่อยไป ต้องรู้ว่าแก่เพราะอะไร ก็เพราะว่าจิตมายึดถือ เมื่อจิตมายึดมาถือ
จิตจึงมาเกาะอยู่ มาเกิด มาแก่ชรา เจ็บไข้ได้พยาธิ ผลที่สุดก็ถึงซึ่งความตาย
บทภาวนาบทใดก็ดีทั้งนั้น ถ้าภาวนาได้ทุกลมหายใจ
ก็เป็นอุบายธรรมอันดีทั้งนั้น ความตั้งมั่นในสมาธิภาวนาของจิตใจคนเรานั้น
ย่อมมีเวลาเจริญขึ้น มีเสื่อมลงเป็นธรรมดา ถ้าเรามารู้เท่าทันว่า
การรวมจิตใจเข้าเป็นดวงหนึ่งดวงเดียว เป็นความสงบสุขเยือกเย็น อย่างแท้จริง
ก็ให้ทุกคนตั้งใจปฏิบัติบูชาภาวนา อย่าได้มีความท้อถอย
เมื่อใจไม่ท้อถอยแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้เราท้อแท้อ่อนแอได้
เพราะคนเรามีใจเป็นใหญ่เป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจทั้งสิ้น
ความเที่ยงแท้แน่นอนในโลกนี้ จะเอาที่ไหนไม่มี
ผู้ปฏิบัติจงรู้เท่าทัน รู้เท่านั้นแล้วก็ปล่อยว่าง อย่าเข้าไปยึดไปถือ
อย่าไปยึดว่าตัวกูของกู ตัวข้าของข้า ตัวเราของเรา เราเป็นนั้นเป็นนี้
ตัวเราของเราไม่มี มีแต่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มีแต่หลัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ทั้งโลก
ให้ทานข้าวของ วัตถุภายนอกก็เป็นบุญ
แต่ยังไม่ลึกซึ้ง ให้ทำบุญภายในใจ ให้เป็นบุญอยู่เสมอ ภาวนาพุทโธ
นึกน้อมเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอยู่ภายใน นี่แหละ บุญภายใน
อวิชชา แปลว่าไม่รู้ ไม่รู้ต้น ไม่รู้ปลาย
ไม่รู้อยู่ จิตจึงได้วนเวียน หลงไหล เข้าใจผิดว่า โลกนี้ยังมีความสุขซ่อนอยู่
ความจริงแล้วในมนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ตาม พรหมโลกก็ช่าง
ล้วนแล้วแต่ตกอยุ่ในกองทุกข์ กองภัย ต้องมีภัย อันตรายรอบด้าน
ชีวิตของคนเราไม่นาน ชีวิตนี้มีน้อยที่สุด
เวลาเรายังไม่ตาย ก็ได้ข่าวคน นั้นว่าตาย ที่เขาเอาไปฝังทิ้ง หรือเอาไปเผาไฟ
เพื่อไม่ให้กลิ่นมันเหม็นจมูกเขาต่างหาก เราต้องพิจารณา ต้องทำด้วยกำลังศรัทธาของเรา
ทำไมพระพุทธเจ้า พระอริยะเจ้าทั้ง หลาย
ท่านจึงเกิดอสุภกรรมฐานเห็นแจ้งในจิตในใจได้ เห็นคนก็เห็นก้อนอสุภกรรมฐาน
เห็นคนก็เห็นความตายของคนนั้น
สงบแต่ปาก ใจไม่สงบ ก็ไม่ได้ ต้องให้ใจสงบ ใจสงบ
ก็คือว่า เมื่อฟุ้งซ่านรั่วไหลไปที่อื่นก็ให้คอยระวัง
นึกน้อมสอนใจของตัวเองด้วยว่า ความเกิดเป็นทุกข์ เกิดมาแล้วเป็นทุกข์อย่างนี้แหละ
จะไปเอาสุขที่ไหนในโลก ที่ไหน มันก็ทุกข์เท่าๆ กัน เอาสิ่งเหล่านี้มาเตือนใจตนเอง
เวลาความตายมาถึงเข้า
กายกับจิตจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ เรียกว่าแยกกันไป จิตทำบาปไว้ก็ไปสู่บาป
จิตทำบุญไว้ก็ไปสู่บุญ จิตละกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ได้ก็ไปสู่นิพพาน
จิตละไม่ได้ก็มาเวียนตายเวียนเกิด วุ่นวายอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้ามา ตรัสรู้ในโลก
มนุษย์ทั้งหลายก็ยังไม่หมดไปจากโลก ยิ่งในปัจจุบันนี้ ยิ่งมากกว่าในสมัย ก่อน
มันเกิดมาจากไหน ก็เกิดมาจากจิตที่เต็มไปด้วย อวิชชา-ความไม่รู้ ตัณหา-ความดิ้นรน
ไม่สงบตั้งมั่น ก็สร้างตัวขึ้นมาในแต่ละบุคคล แล้วก็มาทุกข์มาเดือดร้อน
วุ่นวายอยู่ในวัฏสงสารอย่างนี้แหละ
ให้ละกิเลสออกจากจิตให้หมดทุกคน
กิเลสนี้แหละทำให้คนเราเดือดร้อนวุ่นวายอยู่ไม่สิ้นสุด
กิเลสนั้นเมื่อย่นย่อเข้ามาก็คือ ความโกรธ ความโลภ ความหลง ๓ อย่างเท่านี้
ทำไมจึงเกิดมาสร้างกิเลสให้มากขึ้นไปทุกภพทุกชาติ ทำไมหนอ ใจคนเราจึงไม่ยอมละ
การละก็ไม่หมดสักที ในชาติเดียวนี้ตั้งใจละ ทั้งพระเณรและญาติโยมทั้งหลาย
ความโกรธเมื่อเกิดขึ้นอย่าโกรธไปตาม ถ้าไม่โกรธไปตาม มันจะตายเชียวหรือ
ทำไมจึงไม่ระลึกอยู่เสมอว่า คนเราจะละความโกรธให้หมดสิ้นไป ในเวลาเดี๋ยวนี้
อย่าให้มีการท้อถอยในการสร้างความดี มีการรักษาศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 พร้อมทั้งการเจริญสมาธิภาวนา ฆ่ากิเลสตัณหาให้หมดไป ใจจึงจะเย็นเป็นสุขทุกคน
ภาวนาให้ได้ทุกลมหายใจเข้าออก
เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น จิตของผู้ภาวนาก็สูง คำว่าสูง
ก็เหมือนกับเรือที่ลอยลำอยู่ในแม่น้ำ ลำคลองหรือที่มหาสมุทรสาคร ก็คือ
จิตมันอยู่เหนือน้ำ
จิตอยู่เหนืออารมณ์ เหมือนเรืออยู่เหนือแม่น้ำ
มันก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อน จึงจำต้องฝึกอบรมตัวเองให้มีความอดทน
เวลาความสุขมาถึงเข้า
เราจะไปเอาความสุขในความสรรเสริญเยินยอ มั่งมีศรีสุขอย่างเดียว แต่เราหารู้ไม่ว่า
"ความสุขมีที่ไหน ความทุกข์ก็มีที่นั่น"
มรณกรรมฐานนี้เป็นยอดกรรมฐาน คนเราเมื่ออาศัยความประมาท
มัวเมาไม่ได้มองเห็นภัยอันตรายจะมาถึงตน คิดเอาเอง หมายเอาเอง
ว่าเราคงไม่เป็นไรง่ายๆ เราสบายดีอยู่ เรายังเด็กยังหนุ่มอยู่
ความตายคงไม่กล้ำกรายได้ง่าย ๆ อันนี้เป็นความประมาท มัวเมา
ถ้ามองเห็นความตายทุกลมหายใจเข้าออก สบายไปเลย
กูก็จะตาย สูก็จะตาย จะมากังวลวุ่นวายกันทำไม
ปัจฉิมบท
พระอาจารย์สิม พุทธาจาโรเกิดมาเพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ให้กับตนเอง
และใช้ชีวิตที่เหลือในการเกื้อกูลมหาชนอย่างแท้จริง หลวงปู่พร่ำสอนเสมอๆ มิให้
ตั้งตนในทางที่ประมาท ทั้งความประมาทในชีวิต ความประมาทในวัย และความ
ประมาทในความตาย
หลวงปู่เน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการปฏิบัติภาวนาว่า เป็นหนทางอัน สูงสุดที่จะทำให้คนพ้นทุกข์
ดังคำสอนตอนหนึ่งว่า
"ทางพระสอนให้ละชั่วทำความดี แต่ก็ไม่ให้ติดอยู่ในความดี
ให้บำเพ็ญจิตให้ยิ่งขึ้นจนถึงไม่ติดดีติดชั่วจึงจะพ้นจากโลกนี้ไปได้
เพราะแม้คุณความดีจะส่งผลให้เป็นสุขไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เป็นเทพ อินทร์ พรหม ก็ตาม
แต่เมื่อกำลังของกุศลกรรมความดีนั้นๆ หมดลง ก็ย่อมต้อง กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก
ทางพระจึงมุ่งสอนให้มุ่งภาวนา ทำจิตให้รวม ระวังตั้งมั่น
ทำจิตให้มีปัญญารู้ความเป็นจริงด้วยตนเอง จนถอดถอนอุปทานความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ
ออกเสียจึงจะเป็นไปเพื่อความสิ้นภพสิ้นชาติ หมดทุกข์หมดยากโดยแท้จริง"
พระอาจารย์สิมได้ทำหน้าที่พระครูอาจารย์ไว้โดยสมบูรณ์ยิ่งแล้ว ทั้งด้านเทศนาธรรม
และด้วยการประพฤติปฏิบัติเป็นแบบอย่างที่ดีงาม
หลวงปู่เป็นผู้มีใจหนักแน่นมั่นคงไม่ หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลาย
ซึ่งพวกเราจักยึดถือปฏิบัติตามได้โดยสนิทใจพระอาจารย์สิมจากไปอย่างผู้ที่พร้อมรับต่อความตายทุกขณะ สมดังที่พระอาจารย์สิมได้พร่ำสอนผู้อื่นเสมอ
ถ้าท่านได้ไปถ้ำผาปล่อง ท่านจะได้พบรูปหล่อเหมือนพระอาจารย์สิม ประดิษฐานอยู่ในท่าขัดสมาธิเพชร ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำองค์ท่าน และ
"เจดีย์แห่งความกตัญญู" ที่คณะศิษย์ได้จัดสร้างถวายให้ใช้เป็นที่บรรจุ
พระบรมสารีริกธาตุและเป็นพิพิธภัณฑ์เครื่องอัฐบริขารของ "พระอาจารย์สิม พุทธาจาโร"
พระธรรมคำสอน ของพระอาจารย์สิม
รูปหล่อเหมือนพระอาจารย์สิม ประดิษฐานอยู่ในท่าขัดสมาธิเพชร
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
6. กระดูก 300 ท่อน
(ตอนที่ 2)
http://ia600805.us.archive.org/33/items/DesanasOfVenLuangpuSim_671/273002.mp3
http://ia600805.us.archive.org/33/items/DesanasOfVenLuangpuSim_671/273002.mp3
9. ความสุขในพระนิพพาน
10. ทำใจให้นิ่งเป็นดวงเดียว
11. นิวรณ์
12. มรณะกรรมฐาน
13. ความโกรธเหมือนไฟ
14. วิริยะ ขันติ บารมี
No comments:
Post a Comment