Search This Blog / The Web ค้นหาบล็อค / เว็บ

Saturday, August 19, 2017

ประโยชน์ กรรมฐาน 40 กอง ใช้แก้จริตทั้ง 6 ให้สบายได้อย่างไร ? เขียนจัดทำโดย อ. สุชาติ ภูวรัตน์

ประโยชน์ กรรมฐาน 40 กอง ใช้แก้จริตทั้ง 6 



จัดทำโดย อ. สุชาติ ภูวรัตน์
นธ.เอกบาลีประโยค 1-2
(อดีตพระธรรมทูตต่างประเทศ)
B.S. Engineering Design Tech.
 B.A. ศาสนศาสตร์บัณฑิต
B.S. Computer Information Systems
B.TM.  พทย์แผนไทยบัณฑิต
สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ
บ.ภ.พท.ว.พท.ผ.พท.น.
ครูแพทย์แผนไทย 4 ด้าน
ศูนย์การแพทย์แผนไทยภูเก็ต

ทำเพื่อการศึกษาและประโยชน์แก่ผู้ชม

กรรมฐาน 40 กอง ใช้แก้จริต 6 อย่างไร ?
กรรมฐาน หมายถึง ที่ตั้งในการกระทำของจิต ใช้เป็นอุปกรณ์ในการฝึกอบรมจิตให้เกิดความสงบเป็นสมาธิ (สมถะ) มี 40 กอง หรือวิธี ในการฝึกปฏิบัติกรรมฐาน ซึ่งมีอุบาย 40 วิธีด้วยกันที่ใช้ฝึกจิตให้เกิดสมาธิ ก็คือการเอาสิ่งต่างๆมาให้จิตภาวนา เพื่อทำให้จิตเป็นสมาธิ เมื่อจิตแน่วแน่อยู่กับสิ่งเหล่านั้น จะทำให้จิตเป็นสมาธิตั้งมั่นได้อย่างรวดเร็ว  พระอาจารย์ผู้ให้กรรมฐาน ต้องรู้จริตของลูกศิษย์ ก่อนให้กรรมฐานที่เหมาะในการฝึกปฏิบัคิ

การปฏิบัติแบบย่อเข้าใจง่าย
ขั้นตอนปฏิบัติ ต้องทำให้ได้ตั้งแต่ กสิณดิน หรือกองใดจนชำนาญ แล้วทำกองอื่นๆ ต่อไป
1.      กสิณ (เพ่ง) กรรมฐาน 10 กอง ให้ยืนหรือนั่งบนที่นั่งสูง 2 คืบ 4 นิ้ว เพ่งระยะห่าง  ประมาณ 2 ศอก คืบ ถึง 4 ศอก ใกล้หรือไกลเกินไปอาจจะไม่ทำให้เกิดดวงกสิณก็ได้ 

    1) กสิณดิน ทำดินสีพระอาทิตย์ขึ้น (สีอรุณ) โดยขยำดินให้ละเอียดอย่าให้มีกรวดทราย
        รากหญ้ายางไม้และไม่ใช่สีแดง สีเหลือง สีเขียว สีขาว และไม่เจือปนด้วยสีดังกล่าว 
        ทำผิวดินให้เรียบเป็นวงกลม ขนาด 1 คืบ 4 นิ้ว เพ่งดิน ภาวนาว่า ดินๆๆ จนเห็นติดตา
        ใช้ได้สำหรับทุกจริต 

    2) กสิณไฟ เจาะช่องวงกลม 1 คืบ 4 นิ้ว เพ่งเปลวไฟที่ก่อไว้  ภาวนาว่า ไฟๆๆ จนเห็นติดตา

        ใช้ได้สำหรับทุกจริต

    3) กสิณลม เพ่งลมพัดถูกกาย ลมพัดต้นอ้อ หรือใบไม้ไหว ภาวนาว่า ลมๆๆ จนเห็นติดตา

        ใช้ได้สำหรับทุกจริต
    4) กสิณน้ำ ให้เพ่งน้ำเต็มบาตรหรือเต็มโอ่ง                   ภาวนาว่า น้ำๆๆ จนเห็นติดตา
        ใช้ได้สำหรับทุกจริต

    5) กสิณอากาศ ให้เพ่งอากาศ ที่ว่าง                       ภาวนาว่า อากาศๆๆ จนเห็นติดตา

        ใช้ได้สำหรับทุกจริต

    6) กสิณแสงสว่าง เพ่งแสงสว่าง แสงจันทร์ แสงแดด ที่ลอดรูหลังคาลงมาที่พื้น

        ภาวนาว่า แสงสว่างๆๆ จนเห็นติดตา
        ใช้ได้สำหรับทุกจริต     (ท่านว่า ผู้ที่ทำกสิณนี้จนชำนาญ จะมีตาทิพย์)
      
    7) กสิณโลหิต ทำวงกลมขนาด 1 คืบ 4 นิ้ว เพ่งสีแดง  ภาวนาว่า สีแดงๆๆ จนเห็นติดตา
        ใช้สำหรับผู้ที่มีโทสจริต คือ ความโกรธ เกลียด แค้น อาฆาต พยาบาท

    8) กสิณสีเขียว ทำวงกลมขนาด 1 คืบ 4 นิ้ว เพ่งสีเขียว ภาวนาว่า สีเขียวๆๆ จนเห็นติดตา

       ใช้สำหรับผู้ที่มีโทสจริต คือ ความโกรธ เกลียด แค้น อาฆาต พยาบาท

    9) กสิณสีเหลือง ทำวงกลมขนาด 1 คืบ 4 นิ้ว เพ่งสีเหลือง ภาวนาว่า สีเหลืองๆๆ จนเห็นติดตา

       ใช้สำหรับผู้ที่มีโทสจริต คือ ความโกรธ เกลียด แค้น อาฆาต พยาบาท

  10) กสิณสีขาว ทำวงกลมขนาด 1 คืบ 4 นิ้ว เพ่งสีขาว      ภาวนาว่า สีขาวๆๆ จนเห็นติดตา

       ใช้สำหรับผู้ที่มีโทสจริต คือ ความโกรธ เกลียด แค้น อาฆาต พยาบาท
         (ท่านว่า ผู้ที่ทำกสิณนี้จนชำนาญ จะมีตาทิพย์)

2. อสุภะ (ไม่สวยงาม) กรรมฐาน 10 กอง ให้ยืนหรือนั่งพิจารณาที่ลมไม่พัดผ่าน คือไม่อยู่ใต้ลมเพราะมีกลิ่นเหม็น และไม่อยู่เหนือลมเพราะสัตว์อยู่ที่ซากศพอาจทำอันตรายก็ได้ จนเกิดภาพติดตา

    ใช้สำหรับผู้ที่มีราคะจริต คือ ชอบความสวยงามของสิ่งต่างๆ รวมทั้งร่างกายของตนเองและผู้อื่น

     1) ซากศพ ตายวันที่ 1 ตัวแข็ง เย็นชืด เพราะธาตุลมธาตุไฟดับ

   2) ซากศพ ตายวันที่ 2 เริ่มบวมพอง เป็นสีเขียว

   3) ซากศพ ตายวันที่ 3 พองมากขึ้น เริ่มมีกลิ่นน้ำเน่า มีหนองบวม

   4) ซากศพ ตายวันที่ 4 เนื้อหนังปริ ลิ้นจุกปาก เลือด หนองไหลทั่วตัว เนื้อหนังเริ่มปริออก

   5) ซากศพ ตายวันที่ 5 เหม็นส่งกลิ่นตลบ เพราะแขนขากระจุยกระจายแยกออกทั้งหมด

   6) ซากศพ ตายวันที่ 6 เรี่ยราดไม่เป็นชิ้นเป็นท่อน มีกลิ่นเหม็นเน่า

   7) ซากศพ ตายวันที่ 7 มีแมลงวัน หนอน มดเจาะไชกินซากศพ

   8) ซากศพ ตายวันที่ 8 เหลือน้อยชิ้น มีกลิ่นเหม็นมาก มีเลือด น้ำหนอง เนื้อเปื่อยเน่า

   9) ซากศพ ตายวันที่ 9 กระจัดกระจายไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ส่งกลิ่นมากจนเข้าใกล้ทนไม่ไหว

 10) ซากศพ ตายวันที่ 10 เหลือแต่ฟันและกระดูก แขน ขา กะโหลกมีกลิ่นเหม็น ไม่เห็นหน้าตาเหลืออยู่ มีหนอน แมลงกัดกิน มีแมลงวันบินเต็มไปหมด มีกลิ่นเหม็น เน่าฟุ้งกระจาย เข้าใกล้ไม่ได้
หมายเหตุ พิจารณาเป็นอย่างๆไป ไม่จำเป็นต้อง ตายวันที่ 1 ถึง 10 ก็ได้ พบซากศพเช่นใดก็พิจารณาอย่างนั้นไป เช่น ซากศพเด็ก วัยกลางคน วัยชรา ผู้หญิง ผู้ชาย พิจารณาจากท้องขึ้นมาศีรษะและจากท้องลงไปปลายเท้า ซากศพที่ถูกฆ่ามีบาดแผลเลือดออก ซากศพที่ขาดเป็นท่อนๆ มีก้อนเนื้อนม ซากศพที่ขึ้นอืดผิวสีเขียว มีน้ำหนองไหล มีกลิ่นเหม็น ซากศพที่มีอวัยวะภายในกระจายเรี่ยราด ซากศพที่มีสัตว์กิน มีแมลงวันตอม มีหนอนคลานออกมา ซากศพที่มีแต่กระดูกซี่โครง แข้ง ขา แขน นิ้ว ฟัน กะโหลกศีรษะ ตากลวงเป็นรูโบ๋ ซากสัตว์ที่ตายก็ใช้พิจารณาได้ จนเกิดภาพติดตา ทั้งหลับตาและลืมตา ช่วยแก้ราคะจริตให้สบายได้มาก


3. อนุสสติ (มีสติระลึกตามอยู่เสมอ) กรรมฐาน 10 กอง  


     1) พุทธานุสสติ    มีสติระลึกตามพระพุทธเจ้า อยู่เสมอ
                             ใช้สำหรับผู้ที่มีศรัทธาจริต คือ มีจิตเลื่อมใสศรัทธาเสมอ
     2) ธรรมานุสสติ    มีสติระลึกตามพระธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ
                              ใช้สำหรับผู้ที่มีศรัทธาจริต คือ มีจิตเลื่อมใสศรัทธาเสมอ
     3) สังฆานุสสติ      มีสติระลึกตามพระอริยะสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีอยู่เสมอ
                              ใช้สำหรับผู้ที่มีศรัทธาจริต คือ มีจิตเลื่อมใสศรัทธาเสมอ
     4) สีลานุสสติ        มีสติระลึกตามในศีลที่ตนรักษาไว้อยู่เสมอ
                              ใช้สำหรับผู้ที่มีศรัทธาจริต คือ มีจิตเลื่อมใสศรัทธาเสมอ
     5) จาคานุสสติ      มีสติระลึกตามการให้ทานอยู่เสมอ
                              ใช้สำหรับผู้ที่มีศรัทธาจริต คือ มีจิตเลื่อมใสศรัทธาเสมอ
     6) เทวตานุสสติ    มีสติระลึกคามเทวดา ผู้มีความละอายเกรงกลัวต่อบาปกรรมอยู่เสมอ
                             ใช้สำหรับผู้ที่มีศรัทธาจริต คือ มีจิตเลื่อมใสศรัทธาเสมอ

     7) มรณานุสสติ    มีสติระลึกคามความตาย ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตายแน่นอนอยู่เสมอ

                             ใช้สำหรับผู้ที่มีพุทธิจริต คือ ผู้มีไหวพริบปฏิภาณดี มีความฉลาดรอบรู้
     8) อุปสมานุสติกรรมฐาน มีสติระลึกคามความสงบสุขของพระนิพพานอยู่เสมอ
                             ใช้สำหรับผู้ที่มีพุทธิจริต คือ ผู้มีไหวพริบปฏิภาณดี มีความฉลาดรอบรู้
     9) อานาปานานุสสติ  มีสติระลึกคามลมหายใจเข้าและหายใจออกอยู่เสมอ
                             ใช้สำหรับผู้ที่มีโมหะจริต  คือ ความหลงไม่รู้ตามความเป็นจริง
                              และวิตกจริต คือ มีความลังเลใจ คิดไม่ตก วิตกกังวลอยู่เสมอ
   10) กายคตานุสสติกรรมฐาน มีสติระลึกตามไปในกาย เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อยู่เสมอ
     ใช้สำหรับผู้ที่มีราคะจริต คือ ชอบความสวยงามของสิ่งต่างๆ รวมทั้งร่างกายของตนเองและผู้อื่น
        
4. อัปปมัญญา (พรหมวิหาร) กรรมฐาน 4 กอง   คือ ธรรมที่แผ่ไปสู่ผู้ยังเกิด แก่ เจ็บ ตาย
          โดยไม่มีประมาณ โดยไม่มีขอบเขต
          ใช้สำหรับผู้ที่มีโทสจริต คือ ความโกรธ เกลียด แค้น อาฆาต พยาบาท
1)     เมตตา  มีความเป็นมิตร ไม่พยาบาท ไม่มีเวรต่อกัน  ขอให้มีความสุขโดยทั่วกันเถิด
2)     กรุณา   มีความคิดที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้พ้นจากทุกข์ ภัย ทั้งสิ้นเถิด
3)     มุฑิตา   มีความยืนดี ไม่อิจฉา ริษยา เมื่อผู้อื่นมีลาภ ยศ สรรเสริญ มีความสุข
4)     อุเบกขา มีความวางเฉย ไม่ยินดีไม่ยินร้าย เมื่อให้ช่วยเหลือผู้ประสบทุกข์ภัยไม่ได้ ท่านว่าทุกคนมีกรรมเป็นของๆตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล จะทำกรรมเช่นใดไว้ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น

    ประโยชน์จากการแผ่เมตตา 11 ประการ คือ 1 หลับก็เป็นสุข  2 ตื่นก็เป็นสุข  3 มีหน้าเบิกบาน  4 ฝันดี 5 เป็นที่รักของมนุษย์ เทวดา และผู้ล่วงลับไปแล้ว 6 มีเทวดาคุ้มครองรักษา
7 ไฟไม่ไหม้  8 ไม่ถูกยาพิษและอาวุธ  8 มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ 9 มีผิวหน้าผ่องใส
10 เมื่อจากโลกนี้ไปมีสติดี  11 ถ้ายังไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน ก็จะไปบังเกิดในพรหมโลก

       5. อาหาเรปฏิกูลสัญญา  มีความจำได้หมายรู้ในการพิจารณาอาหารให้เป็นสิ่งปฏิกูลก่อนบริโภค เพื่อไม่ให้คิดยึดในรส และประเภทอาหาร บริโภคแต่พอดีเพื่อดำรงชีพปฏิบัติให้ถึงพระนิพพาน
         ใช้สำหรับผู้ที่มีพุทธิจริต  คือ ผู้มีไหวพริบปฏิภาณดี มีความฉลาดรอบรู้

       6. จตุธาตุววัฏฐาน คือการพิจารณาให้เห็นร่างกายของตนเป็นแต่เพียงธาตุ 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ใช้สำหรับผู้ที่มีพุทธิจริต คือ ผู้มีไหวพริบปฏิภาณดี มีความฉลาดรอบรู้
      1)     ธาตุดิน 20 อย่าง คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เส้นเอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก 
           ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก อาหารที่เพิ่งกินใหม่ 
           คูถอุจจาระ และมันสมอง
      2)     ธาตุน้ำ 12 อย่าง คือ น้ำดี น้ำเสลด น้ำหนอง น้ำเลือด น้ำเหงื่อ น้ำมันข้น น้ำตา 
           น้ำเหลือง  น้ำลาย น้ำมูก น้ำไขข้อ น้ำปัสสาวะ
      3)     ธาตุลม  6 อย่าง คือ ลมทำให้เรอ ขึ้นมาจากกระเพาะถึงลำคอ ลมทำให้ผายลม 
           จากลำไส้ถึงทวารหนัก ลมในท้องนอกลำไส้ ลมในลำไส้ในกระเพาะอาหาร 
            ลมทั่วกาย ลมหายใจเข้าออก
          4)  ธาตุไฟ  4 อย่าง คือ ไฟทำให้อบอุ่น ไฟทำให้ร้อน ต้องอาบน้ำ ไฟเผาอาหาร 
                และไฟทำให้ชรา

     7. อรูป (ไม่มีรูป) กรรมฐาน 4 กอง   ใช้ได้สำหรับทุกจริต
    1 ) อากาสานัญจายตนะ ท่านให้พิจารณาอากาศเป็นอารมณ์ก่อน ให้ภาวนาว่า อากาศไม่มี
         ที่สุดๆๆๆ  จนได้ฌาน 1 - 4 ได้ปฏิภาคนิมิต ให้วางปฏิภาคนิมิต จึงได้อรูปฌาน
    2 ) วิญญาณัญจายตนะ  ท่านให้พิจารณาวิญญาณเป็นอารมณ์ต่อจากอากาศ ให้เข้าฌาน  
         ให้ชำนาญ ให้ภาวนาว่า วิญญาณไม่มีที่สุดๆๆๆ  จนได้ฌาน 4 ได้ปฏิภาคนิมิต ให้วาง
         ปฏิภาคนิมิต จึงได้อรูปฌาน 
    3 ) อากิญจัญญายตนะ ท่านให้พิจารณาอากิญจัญญาเป็นอารมณ์ก่อน ให้ภาวนาว่า
         ไม่มีอะไรๆๆๆ  จนได้ฌาน 4 ได้ปฏิภาคนิมิต ให้วางปฏิภาคนิมิต จึงได้อรูปฌาน
    4 ) เนวสัญญานาสัญญายตนะ ท่านให้พิจารณาเนวสัญญานาสัญญาเป็นอารมณ์ก่อน
        ให้ภาวนาว่ามีสัญญาหรือไม่มีสัญญาไม่มีที่สุดๆๆๆ จนได้ฌาน 4 ได้ปฏิภาคนิมิต 
        ให้วางปฏิภาคนิมิต จึงได้อรูปฌาน
 (พระพุทธองค์ ได้ตรัสว่าหลังจากท่านตรัสรู้แล้ว ต้องการไปโปรดอาจารย์ของพระองค์ 2 ท่าน คือ อาฬารดาบส และอุทกดาบส แต่ท่านทั้ง 2 ได้มรณภาพและอุบัติในชั้นอรูปพรหม ท่านว่าโปรดให้ปรินิพพานไม่ได้เสียแล้ว เพราะอาจารย์ของพระองค์ทั้ง 2 ท่านไปเป็นพรหมไม่มีรูป)

อสุภะกรรมฐาน และมรณานุสติกรรมฐาน