Search This Blog / The Web ค้นหาบล็อค / เว็บ

Saturday, August 19, 2017

ประโยชน์ กรรมฐาน 40 กอง ใช้แก้จริตทั้ง 6 ให้สบายได้อย่างไร ? เขียนจัดทำโดย อ. สุชาติ ภูวรัตน์

ประโยชน์ กรรมฐาน 40 กอง ใช้แก้จริตทั้ง 6 



จัดทำโดย อ. สุชาติ ภูวรัตน์
นธ.เอกบาลีประโยค 1-2
(อดีตพระธรรมทูตต่างประเทศ)
B.S. Engineering Design Tech.
 B.A. ศาสนศาสตร์บัณฑิต
B.S. Computer Information Systems
B.TM.  พทย์แผนไทยบัณฑิต
สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ
บ.ภ.พท.ว.พท.ผ.พท.น.
ครูแพทย์แผนไทย 4 ด้าน
ศูนย์การแพทย์แผนไทยภูเก็ต

ทำเพื่อการศึกษาและประโยชน์แก่ผู้ชม

กรรมฐาน 40 กอง ใช้แก้จริต 6 อย่างไร ?
กรรมฐาน หมายถึง ที่ตั้งในการกระทำของจิต ใช้เป็นอุปกรณ์ในการฝึกอบรมจิตให้เกิดความสงบเป็นสมาธิ (สมถะ) มี 40 กอง หรือวิธี ในการฝึกปฏิบัติกรรมฐาน ซึ่งมีอุบาย 40 วิธีด้วยกันที่ใช้ฝึกจิตให้เกิดสมาธิ ก็คือการเอาสิ่งต่างๆมาให้จิตภาวนา เพื่อทำให้จิตเป็นสมาธิ เมื่อจิตแน่วแน่อยู่กับสิ่งเหล่านั้น จะทำให้จิตเป็นสมาธิตั้งมั่นได้อย่างรวดเร็ว  พระอาจารย์ผู้ให้กรรมฐาน ต้องรู้จริตของลูกศิษย์ ก่อนให้กรรมฐานที่เหมาะในการฝึกปฏิบัคิ

การปฏิบัติแบบย่อเข้าใจง่าย
ขั้นตอนปฏิบัติ ต้องทำให้ได้ตั้งแต่ กสิณดิน หรือกองใดจนชำนาญ แล้วทำกองอื่นๆ ต่อไป
1.      กสิณ (เพ่ง) กรรมฐาน 10 กอง ให้ยืนหรือนั่งบนที่นั่งสูง 2 คืบ 4 นิ้ว เพ่งระยะห่าง  ประมาณ 2 ศอก คืบ ถึง 4 ศอก ใกล้หรือไกลเกินไปอาจจะไม่ทำให้เกิดดวงกสิณก็ได้ 

    1) กสิณดิน ทำดินสีพระอาทิตย์ขึ้น (สีอรุณ) โดยขยำดินให้ละเอียดอย่าให้มีกรวดทราย
        รากหญ้ายางไม้และไม่ใช่สีแดง สีเหลือง สีเขียว สีขาว และไม่เจือปนด้วยสีดังกล่าว 
        ทำผิวดินให้เรียบเป็นวงกลม ขนาด 1 คืบ 4 นิ้ว เพ่งดิน ภาวนาว่า ดินๆๆ จนเห็นติดตา
        ใช้ได้สำหรับทุกจริต 

    2) กสิณไฟ เจาะช่องวงกลม 1 คืบ 4 นิ้ว เพ่งเปลวไฟที่ก่อไว้  ภาวนาว่า ไฟๆๆ จนเห็นติดตา

        ใช้ได้สำหรับทุกจริต

    3) กสิณลม เพ่งลมพัดถูกกาย ลมพัดต้นอ้อ หรือใบไม้ไหว ภาวนาว่า ลมๆๆ จนเห็นติดตา

        ใช้ได้สำหรับทุกจริต
    4) กสิณน้ำ ให้เพ่งน้ำเต็มบาตรหรือเต็มโอ่ง                   ภาวนาว่า น้ำๆๆ จนเห็นติดตา
        ใช้ได้สำหรับทุกจริต

    5) กสิณอากาศ ให้เพ่งอากาศ ที่ว่าง                       ภาวนาว่า อากาศๆๆ จนเห็นติดตา

        ใช้ได้สำหรับทุกจริต

    6) กสิณแสงสว่าง เพ่งแสงสว่าง แสงจันทร์ แสงแดด ที่ลอดรูหลังคาลงมาที่พื้น

        ภาวนาว่า แสงสว่างๆๆ จนเห็นติดตา
        ใช้ได้สำหรับทุกจริต     (ท่านว่า ผู้ที่ทำกสิณนี้จนชำนาญ จะมีตาทิพย์)
      
    7) กสิณโลหิต ทำวงกลมขนาด 1 คืบ 4 นิ้ว เพ่งสีแดง  ภาวนาว่า สีแดงๆๆ จนเห็นติดตา
        ใช้สำหรับผู้ที่มีโทสจริต คือ ความโกรธ เกลียด แค้น อาฆาต พยาบาท

    8) กสิณสีเขียว ทำวงกลมขนาด 1 คืบ 4 นิ้ว เพ่งสีเขียว ภาวนาว่า สีเขียวๆๆ จนเห็นติดตา

       ใช้สำหรับผู้ที่มีโทสจริต คือ ความโกรธ เกลียด แค้น อาฆาต พยาบาท

    9) กสิณสีเหลือง ทำวงกลมขนาด 1 คืบ 4 นิ้ว เพ่งสีเหลือง ภาวนาว่า สีเหลืองๆๆ จนเห็นติดตา

       ใช้สำหรับผู้ที่มีโทสจริต คือ ความโกรธ เกลียด แค้น อาฆาต พยาบาท

  10) กสิณสีขาว ทำวงกลมขนาด 1 คืบ 4 นิ้ว เพ่งสีขาว      ภาวนาว่า สีขาวๆๆ จนเห็นติดตา

       ใช้สำหรับผู้ที่มีโทสจริต คือ ความโกรธ เกลียด แค้น อาฆาต พยาบาท
         (ท่านว่า ผู้ที่ทำกสิณนี้จนชำนาญ จะมีตาทิพย์)

2. อสุภะ (ไม่สวยงาม) กรรมฐาน 10 กอง ให้ยืนหรือนั่งพิจารณาที่ลมไม่พัดผ่าน คือไม่อยู่ใต้ลมเพราะมีกลิ่นเหม็น และไม่อยู่เหนือลมเพราะสัตว์อยู่ที่ซากศพอาจทำอันตรายก็ได้ จนเกิดภาพติดตา

    ใช้สำหรับผู้ที่มีราคะจริต คือ ชอบความสวยงามของสิ่งต่างๆ รวมทั้งร่างกายของตนเองและผู้อื่น

     1) ซากศพ ตายวันที่ 1 ตัวแข็ง เย็นชืด เพราะธาตุลมธาตุไฟดับ

   2) ซากศพ ตายวันที่ 2 เริ่มบวมพอง เป็นสีเขียว

   3) ซากศพ ตายวันที่ 3 พองมากขึ้น เริ่มมีกลิ่นน้ำเน่า มีหนองบวม

   4) ซากศพ ตายวันที่ 4 เนื้อหนังปริ ลิ้นจุกปาก เลือด หนองไหลทั่วตัว เนื้อหนังเริ่มปริออก

   5) ซากศพ ตายวันที่ 5 เหม็นส่งกลิ่นตลบ เพราะแขนขากระจุยกระจายแยกออกทั้งหมด

   6) ซากศพ ตายวันที่ 6 เรี่ยราดไม่เป็นชิ้นเป็นท่อน มีกลิ่นเหม็นเน่า

   7) ซากศพ ตายวันที่ 7 มีแมลงวัน หนอน มดเจาะไชกินซากศพ

   8) ซากศพ ตายวันที่ 8 เหลือน้อยชิ้น มีกลิ่นเหม็นมาก มีเลือด น้ำหนอง เนื้อเปื่อยเน่า

   9) ซากศพ ตายวันที่ 9 กระจัดกระจายไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ส่งกลิ่นมากจนเข้าใกล้ทนไม่ไหว

 10) ซากศพ ตายวันที่ 10 เหลือแต่ฟันและกระดูก แขน ขา กะโหลกมีกลิ่นเหม็น ไม่เห็นหน้าตาเหลืออยู่ มีหนอน แมลงกัดกิน มีแมลงวันบินเต็มไปหมด มีกลิ่นเหม็น เน่าฟุ้งกระจาย เข้าใกล้ไม่ได้
หมายเหตุ พิจารณาเป็นอย่างๆไป ไม่จำเป็นต้อง ตายวันที่ 1 ถึง 10 ก็ได้ พบซากศพเช่นใดก็พิจารณาอย่างนั้นไป เช่น ซากศพเด็ก วัยกลางคน วัยชรา ผู้หญิง ผู้ชาย พิจารณาจากท้องขึ้นมาศีรษะและจากท้องลงไปปลายเท้า ซากศพที่ถูกฆ่ามีบาดแผลเลือดออก ซากศพที่ขาดเป็นท่อนๆ มีก้อนเนื้อนม ซากศพที่ขึ้นอืดผิวสีเขียว มีน้ำหนองไหล มีกลิ่นเหม็น ซากศพที่มีอวัยวะภายในกระจายเรี่ยราด ซากศพที่มีสัตว์กิน มีแมลงวันตอม มีหนอนคลานออกมา ซากศพที่มีแต่กระดูกซี่โครง แข้ง ขา แขน นิ้ว ฟัน กะโหลกศีรษะ ตากลวงเป็นรูโบ๋ ซากสัตว์ที่ตายก็ใช้พิจารณาได้ จนเกิดภาพติดตา ทั้งหลับตาและลืมตา ช่วยแก้ราคะจริตให้สบายได้มาก


3. อนุสสติ (มีสติระลึกตามอยู่เสมอ) กรรมฐาน 10 กอง  


     1) พุทธานุสสติ    มีสติระลึกตามพระพุทธเจ้า อยู่เสมอ
                             ใช้สำหรับผู้ที่มีศรัทธาจริต คือ มีจิตเลื่อมใสศรัทธาเสมอ
     2) ธรรมานุสสติ    มีสติระลึกตามพระธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ
                              ใช้สำหรับผู้ที่มีศรัทธาจริต คือ มีจิตเลื่อมใสศรัทธาเสมอ
     3) สังฆานุสสติ      มีสติระลึกตามพระอริยะสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีอยู่เสมอ
                              ใช้สำหรับผู้ที่มีศรัทธาจริต คือ มีจิตเลื่อมใสศรัทธาเสมอ
     4) สีลานุสสติ        มีสติระลึกตามในศีลที่ตนรักษาไว้อยู่เสมอ
                              ใช้สำหรับผู้ที่มีศรัทธาจริต คือ มีจิตเลื่อมใสศรัทธาเสมอ
     5) จาคานุสสติ      มีสติระลึกตามการให้ทานอยู่เสมอ
                              ใช้สำหรับผู้ที่มีศรัทธาจริต คือ มีจิตเลื่อมใสศรัทธาเสมอ
     6) เทวตานุสสติ    มีสติระลึกคามเทวดา ผู้มีความละอายเกรงกลัวต่อบาปกรรมอยู่เสมอ
                             ใช้สำหรับผู้ที่มีศรัทธาจริต คือ มีจิตเลื่อมใสศรัทธาเสมอ

     7) มรณานุสสติ    มีสติระลึกคามความตาย ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตายแน่นอนอยู่เสมอ

                             ใช้สำหรับผู้ที่มีพุทธิจริต คือ ผู้มีไหวพริบปฏิภาณดี มีความฉลาดรอบรู้
     8) อุปสมานุสติกรรมฐาน มีสติระลึกคามความสงบสุขของพระนิพพานอยู่เสมอ
                             ใช้สำหรับผู้ที่มีพุทธิจริต คือ ผู้มีไหวพริบปฏิภาณดี มีความฉลาดรอบรู้
     9) อานาปานานุสสติ  มีสติระลึกคามลมหายใจเข้าและหายใจออกอยู่เสมอ
                             ใช้สำหรับผู้ที่มีโมหะจริต  คือ ความหลงไม่รู้ตามความเป็นจริง
                              และวิตกจริต คือ มีความลังเลใจ คิดไม่ตก วิตกกังวลอยู่เสมอ
   10) กายคตานุสสติกรรมฐาน มีสติระลึกตามไปในกาย เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อยู่เสมอ
     ใช้สำหรับผู้ที่มีราคะจริต คือ ชอบความสวยงามของสิ่งต่างๆ รวมทั้งร่างกายของตนเองและผู้อื่น
        
4. อัปปมัญญา (พรหมวิหาร) กรรมฐาน 4 กอง   คือ ธรรมที่แผ่ไปสู่ผู้ยังเกิด แก่ เจ็บ ตาย
          โดยไม่มีประมาณ โดยไม่มีขอบเขต
          ใช้สำหรับผู้ที่มีโทสจริต คือ ความโกรธ เกลียด แค้น อาฆาต พยาบาท
1)     เมตตา  มีความเป็นมิตร ไม่พยาบาท ไม่มีเวรต่อกัน  ขอให้มีความสุขโดยทั่วกันเถิด
2)     กรุณา   มีความคิดที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้พ้นจากทุกข์ ภัย ทั้งสิ้นเถิด
3)     มุฑิตา   มีความยืนดี ไม่อิจฉา ริษยา เมื่อผู้อื่นมีลาภ ยศ สรรเสริญ มีความสุข
4)     อุเบกขา มีความวางเฉย ไม่ยินดีไม่ยินร้าย เมื่อให้ช่วยเหลือผู้ประสบทุกข์ภัยไม่ได้ ท่านว่าทุกคนมีกรรมเป็นของๆตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล จะทำกรรมเช่นใดไว้ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น

    ประโยชน์จากการแผ่เมตตา 11 ประการ คือ 1 หลับก็เป็นสุข  2 ตื่นก็เป็นสุข  3 มีหน้าเบิกบาน  4 ฝันดี 5 เป็นที่รักของมนุษย์ เทวดา และผู้ล่วงลับไปแล้ว 6 มีเทวดาคุ้มครองรักษา
7 ไฟไม่ไหม้  8 ไม่ถูกยาพิษและอาวุธ  8 มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ 9 มีผิวหน้าผ่องใส
10 เมื่อจากโลกนี้ไปมีสติดี  11 ถ้ายังไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน ก็จะไปบังเกิดในพรหมโลก

       5. อาหาเรปฏิกูลสัญญา  มีความจำได้หมายรู้ในการพิจารณาอาหารให้เป็นสิ่งปฏิกูลก่อนบริโภค เพื่อไม่ให้คิดยึดในรส และประเภทอาหาร บริโภคแต่พอดีเพื่อดำรงชีพปฏิบัติให้ถึงพระนิพพาน
         ใช้สำหรับผู้ที่มีพุทธิจริต  คือ ผู้มีไหวพริบปฏิภาณดี มีความฉลาดรอบรู้

       6. จตุธาตุววัฏฐาน คือการพิจารณาให้เห็นร่างกายของตนเป็นแต่เพียงธาตุ 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ใช้สำหรับผู้ที่มีพุทธิจริต คือ ผู้มีไหวพริบปฏิภาณดี มีความฉลาดรอบรู้
      1)     ธาตุดิน 20 อย่าง คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เส้นเอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก 
           ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก อาหารที่เพิ่งกินใหม่ 
           คูถอุจจาระ และมันสมอง
      2)     ธาตุน้ำ 12 อย่าง คือ น้ำดี น้ำเสลด น้ำหนอง น้ำเลือด น้ำเหงื่อ น้ำมันข้น น้ำตา 
           น้ำเหลือง  น้ำลาย น้ำมูก น้ำไขข้อ น้ำปัสสาวะ
      3)     ธาตุลม  6 อย่าง คือ ลมทำให้เรอ ขึ้นมาจากกระเพาะถึงลำคอ ลมทำให้ผายลม 
           จากลำไส้ถึงทวารหนัก ลมในท้องนอกลำไส้ ลมในลำไส้ในกระเพาะอาหาร 
            ลมทั่วกาย ลมหายใจเข้าออก
          4)  ธาตุไฟ  4 อย่าง คือ ไฟทำให้อบอุ่น ไฟทำให้ร้อน ต้องอาบน้ำ ไฟเผาอาหาร 
                และไฟทำให้ชรา

     7. อรูป (ไม่มีรูป) กรรมฐาน 4 กอง   ใช้ได้สำหรับทุกจริต
    1 ) อากาสานัญจายตนะ ท่านให้พิจารณาอากาศเป็นอารมณ์ก่อน ให้ภาวนาว่า อากาศไม่มี
         ที่สุดๆๆๆ  จนได้ฌาน 1 - 4 ได้ปฏิภาคนิมิต ให้วางปฏิภาคนิมิต จึงได้อรูปฌาน
    2 ) วิญญาณัญจายตนะ  ท่านให้พิจารณาวิญญาณเป็นอารมณ์ต่อจากอากาศ ให้เข้าฌาน  
         ให้ชำนาญ ให้ภาวนาว่า วิญญาณไม่มีที่สุดๆๆๆ  จนได้ฌาน 4 ได้ปฏิภาคนิมิต ให้วาง
         ปฏิภาคนิมิต จึงได้อรูปฌาน 
    3 ) อากิญจัญญายตนะ ท่านให้พิจารณาอากิญจัญญาเป็นอารมณ์ก่อน ให้ภาวนาว่า
         ไม่มีอะไรๆๆๆ  จนได้ฌาน 4 ได้ปฏิภาคนิมิต ให้วางปฏิภาคนิมิต จึงได้อรูปฌาน
    4 ) เนวสัญญานาสัญญายตนะ ท่านให้พิจารณาเนวสัญญานาสัญญาเป็นอารมณ์ก่อน
        ให้ภาวนาว่ามีสัญญาหรือไม่มีสัญญาไม่มีที่สุดๆๆๆ จนได้ฌาน 4 ได้ปฏิภาคนิมิต 
        ให้วางปฏิภาคนิมิต จึงได้อรูปฌาน
 (พระพุทธองค์ ได้ตรัสว่าหลังจากท่านตรัสรู้แล้ว ต้องการไปโปรดอาจารย์ของพระองค์ 2 ท่าน คือ อาฬารดาบส และอุทกดาบส แต่ท่านทั้ง 2 ได้มรณภาพและอุบัติในชั้นอรูปพรหม ท่านว่าโปรดให้ปรินิพพานไม่ได้เสียแล้ว เพราะอาจารย์ของพระองค์ทั้ง 2 ท่านไปเป็นพรหมไม่มีรูป)

อสุภะกรรมฐาน และมรณานุสติกรรมฐาน



Sunday, June 18, 2017

แนวทางปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน แสดงธรรมโดย พระอาจารย์มหาบัว วัดบ้านตาด จัดทำโดย อ. สุชาติ ภูวรัตน์

แนวทางปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์ (พระนิพพาน)

 แสดงธรรมโดย พระอาจารย์มหาบัว 

วัดบ้านตาด จ.อุดรธานี


จัดทำโดย อ.สุชาติ ภูวรัตน์
นธ.เอกบาลีประโยค 1-2
(อดีตพระธรรมทูตต่างประเทศ)
B.S. Engineering Design Tech.
 B.A. ศาสนศาสตร์บัณฑิต
B.S. Computer Information Systems
B.TM.  พทย์แผนไทยบัณฑิต
สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ
บ.ภ.พท.ว.พท.ผ.พท.น.
ครูแพทย์แผนไทย 4 ด้าน
ศูนย์การแพทย์แผนไทยภูเก็ต
ทำเพื่อการศึกษาและประโยชน์แก่ผู้ชม
และผู้สนใจปฏิบัติธรรมสู่ความพ้นทุกข์









แนวทางปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์ (พระนิพพาน)

 แสดงธรรมโดย พระอาจารย์มหาบัว วัดบ้านตาด 


1. ผู้ปฏิบัติเพื่อมุ่งนิพพานจะต้องถือศีลให้บริสุทธิ์ ข้อนี้สำคัญมาก ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ได้ก่อนเรื่องอื่นใด คือใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของศีลธรรมความดีงาม อะไรผิดศีลห้ามทำโดยเด็ดขาด

2. ให้คิดถึงนิพพานทุกขณะ เหมือนนิพพานอยู่ตรงหน้า คือระลึกไว้เสมอว่า เราจะไปนิพพานเท่านั้น จุดเดียวที่เดียว อย่างอื่นไม่เอา ให้พุ่งตรง ตัดตรงไปเลย

3. ทำสมาธิในชีวิตประจำวันให้ได้ คือถ้าใครบริกรรมพุทโธ ก็ให้ทำไป ใครดูลมหายใจ ก็ให้ดูไป เรื่องนี้เน้นย้ำมากให้คุมกรรมฐานไว้ระหว่างวัน ส่วนจะใช้กรรมฐานชนิดใด ตรงนี้ใช้ได้หมด ขอให้อยู่ในหมวดกรรมฐาน 40 ไม่มีอะไรผิด จุดนี้ให้เน้นไปที่การทำสมถะก่อน อย่าเพิ่งไปสนใจวิปัสสนาในช่วงแรกๆ ต้องฝึกให้จิตมีความตั้งมั่นก่อน ให้จิตอยู่กับกรรมฐานของตนตลอดเวลาทั้งวัน  ยกเว้นเวลาที่ต้องทำงานเท่านั้น เน้นว่า นี่คือการปฏิบัติเบื้องต้นไม่ควรทำสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ควรทำผิดไปจากนี้


ประโยชน์ กรรมฐาน 40 กอง ใช้แก้จริตทั้ง 6 ให้สบายได้อย่างไร ?
https://ex-buddhistmissionarymonk.blogspot.com/2017/08/40-6.html

4. เมื่อทำสมาธิในชีวิตประจำวัน ไปจนจิตเข้าสู่สมาธิได้แล้ว ให้สังเกตดู ช่วงนี้จิตจะปรุงกิเลสน้อยลง เพราะจิตมันอิ่มอารมณ์ มีอารมณ์เป็นหนึ่งมากขึ้น ทำความสงบได้ง่ายขึ้น พูดง่ายๆ ว่าจิตของเราเริ่มมีกำลังเกิดความตั้งมั่นได้ง่าย คือในชีวิตประจำวันก็ทรงอารมณ์อยู่กับกรรมฐานได้ เมื่อทำสมาธิในรูปแบบก็มีอารมณ์เป็นหนึ่งได้ อย่างนี้ถือว่าเริ่มใช้ได้แล้ว ตรงนี้ ให้เริ่มพัฒนา ในขั้นตอนต่อไป อย่าหยุดอยู่แค่การทำสมาธิ

5. พอจิตสงบ ตั้งมั่นแล้ว คราวนี้ท่านให้เริ่มเดินปัญญาต่อไปเลย เพียงแค่สมาธิอย่างเดียวนั้น จิตจะไม่มีความกว้างขวาง จะต้องเดินปัญญาต่อ จึงจะเกิดความกว้างขวาง นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าแนะนำเอาไว้ ต้องทำตามพระพุทธเจ้าท่านสอน

6. ให้เริ่มต้นพิจารณาร่างกาย โดยให้แยกเป็นส่วนๆ
คือ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ หรือผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่เป็นตำหรับแท้ๆ ของพระพุทธเจ้า ให้เอามาดูเป็นส่วนๆ ดูสิ เส้นผมของเราเป็นยังไง สะอาดหรือสกปรก เหมือนกันกับขนสัตว์ชนิดอื่นหรือเปล่า ถ้าไม่อาบน้ำมันจะเป็นอย่างไร แล้วไล่พิจารณาเรียงไปเรื่อยๆ จนครบทั้ง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กรรมฐาน 5 นี้เป็นพื้นฐานทางเดินทางด้านปัญญา ให้หัดดูไปเรื่อยๆ เห็นชัดบ้างไม่ชัดบ้างก็ให้พิจารณาไป ให้เห็นว่าที่ทำอยู่นี้คือหินลับปัญญา

7. เมื่อทำจนชำนาญ ต่อไปก็ลองแยกให้เป็นธาตุ 4 คือดิน น้ำ ลม ไฟ
พิจารณาให้เป็น อนิจจัง(ไม่เที่ยง)ทุกขัง (เป็นทุกข์) อนัตตา(ไม่ใช่ตัวตน)
ทำเช่นนี้ สติปัญญาจะมากขึ้นเป็นลำดับ

8. เมื่อพิจารณาสักพัก ก็ให้ย้อนกลับมาทำสมาธิ เอาความสงบ เอากำลังของจิตใหม่ ต่อเมื่อจิตอยู่ในความสงบ เริ่มมีกำลังฟื้นตัว ก็กลับมาเดินไปปัญญาอีกครั้ง ให้ทำเช่นนี้สลับไป ห้ามทำอย่างหนึ่งอย่างใดเพียงอย่างเดียว ต้องมีทั้งการทำสมาธิ และเดินปัญญาสลับกันเรื่อยไป

9. เมื่อถึงจุดหนึ่ง คราวนี้ให้กำหนดเป็นอสุภะ อสุภะก็คือกรรมฐานกองหนึ่ง ที่ทำให้เห็น ธรรมชาติของร่างกายคนเรา มีอยู่10 ระยะคือ 
1) ซากศพที่เน่าพองขึ้นอืด
2) ซากศพที่มีสีเขียวคล้ำคละด้วยสีต่างๆ 
3) ซากศพที่มีน้ำเหลืองน้ำหนองไหลเยิ้ม (เน่าเฟะ)
4) ซากศพที่ขาดออกเป็น ๒ ท่อน
5) ซากศพที่ถูกสัตว์กัดกินแล้ว
6) ซากศพที่กระจุยกระจาย
7) ซากศพที่ถูกฟัน บั่นเป็นท่อนๆ
8) ซากศพที่มีโลหิตไหลอาบอยู่ (จมกองเลือด)
9) ซากศพที่มีหนอนคลาคล่ำเต็มไปหมด
10) ซากศพที่เหลืออยู่แต่ร่างกระดูกหรือเหลือแต่ท่อนกระดูก
      ในการกำหนดอสุภะนี้ ให้กำหนดภาพเหล่านี้ขึ้นมาตรงหน้าเลย ทำให้ภาพนิ่งอยู่ตรงหน้าอย่างนั้น หมั่นเอาภาพอสุภะมาตั้งไว้ตรงหน้าเสมอ ตอนนี้ยังไม่ต้องทำอะไร แค่ให้จิตกำหนดภาพเหล่านี้ให้ได้ก็พอแล้วดูไป ดูอย่างเดียว เพ่งไปเลยอย่าให้คลาด เมื่อถึงจุดที่เพียงพอ จิตมันจะรู้ของมันเอง
อสุภะกรรมฐาน และมรณานุสติกรรมฐาน

10. เมื่อถึงจุดที่เพียงพอแก่ความต้องการของจิต คราวนี้ธรรมชาติจะหมุนไปสู่ความจริง ซึ่งในขั้นตอนนี้จะเป็นธรรมที่ละเอียดมาก จิตมันจะมีปัญญาในเรื่องกามราคะ ถึงตอนนั้น จิตมันจะสิ้นข้อสงสัยในเรื่องกามราคะไปเลย โดยไม่ต้องมีใครบอก ในขั้นนี้ จะสำเร็จเป็นพระอนาคามีแล้ว

11. เมื่อทำซ้ำๆ จนบรรลุอนาคามี จิตจะไม่กลับมาเกิดอีก
เพราะกามราคะมันขาดสะบั้นไปสิ้น จิตมันจะหมุนขึ้นสูงอย่างเดียวไม่ลงต่ำ ไปอยู่ชั้นพรหมสุทธาวาส เวลานั้นจิตจะรู้ความจริงไปตามลำดับ

พระอาจารย์มหาบัว แสดงธรรมภาวนาให้ใจอยู่กับพุทโธ แสดงนิมิตพระอนาคามี

12.ทบทวนและย้ำอีกรอบว่า "เมื่อทำสมาธิ (สมถะ) ให้พักเรื่องปัญญา (วิปัสสนา)
และเมื่อเดินปัญญา (วิปัสสนา)ก็ให้พักเรื่องสมาธิ (สมถะ) ทั้งสองสิ่งนี้จะต้องทำสลับกันไปตลอด
      ห้ามทิ้งอย่างหนึ่งอย่างใด และเมื่อทำสิ่งหนึ่ง ก็ไม่ต้องคิดถึงอีกสิ่ง คือทำความสงบ ก็ทำไป พิจารณาความจริง ก็ทำไป ห้ามนำมาปนกัน ให้ทำสลับไปอย่างนี้เรื่อยๆ ตลอดการปฏิบัติ

13. เมื่อก้าวถึงภูมิอนาคามีแล้ว จะมีภูมิของอนาคามีที่เข้มขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งมีความเข้มข้นอยู่ 5 ระดับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเลื่อนขึ้นไปเป็นขั้นๆ  พวกที่ก้าวข้ามขั้นไปเลยก็มี แต่ส่วนใหญ่ในช่วงกึ่งพุทธกาลเช่นนี้จะหายาก โดยมากแล้วจะไปทีละขั้น เพราะด่านกามราคะมันยากจริงๆ ไม่ใช่ของง่าย

14. ในขั้นนี้ปัญญาจะเดินอัตโนมัติตลอดเวลาแล้ว เห็นนิพพานอยู่ตรงหน้า ช่วงนี้ปัญญาจะฆ่ากิเลสตลอดเวลาทุกอิริยาบถทั้งยืน เดิน นั่ง ฆ่ากิเลสตลอดเวลา
ยกเว้นเวลานอนหลับ ตอนนั้นไม่มีคำว่า เผลอแล้ว เพราะปัญญาจะเกิดอย่างถี่ยิบ

15. สติปัญญาเดินมาก ต้องย้อนสู่สมาธิ ห้ามเดินปัญญาแต่อย่างเดียวเด็ดขาด
ต้องทำสลับกันไปเช่นนี้

16. ต่อไปจะก้าวเข้าสู่มหาสติปัญญา ถึงตรงนี้จะหมดนิมิตที่เกี่ยวกับจิต เหมือนฟ้าแลบตลอด ไม่ต้องบังคับให้จิตทำงาน กิเลสซ่อนอยู่ตรงไหน ปัญญาจะตามไปฆ่าเชื้อที่นั่น ส่วนใหญ่ถึงตรงนี้ ทุกข์เวทนาจะน้อยมากๆ เหลือเพียงสุขเวทนาเท่านั้น มันจะเห็นสุขเวทนาชัดเจนมาก จุดนี้เองที่มันจะเข้าไปในปราสาทราชวัง ไปเจอนายใหญ่ คืออวิชชา ค้นพบอริยสัจ 4
มันจะเห็นกษัตริย์แห่งวัฏฏะคือ ตัวอวิชชา ถึงตรงนั้นทุกสรรพสิ่งจะว่างไปหมด ยกเว้นเพียงตัวเองที่ยังไม่ว่าง

17. เมื่อถึงจิตตะ คืออวิชชา  พอเปิดอันนี้ออก จิตมันก็จ้าขึ้น
ตอนนี้ข้างนอกก็สว่าง ภายในก็สว่าง ว่างทั้งหมด ตัวเราก็ว่าง เป็นวิมุต คือธรรมชาติที่แท้จริง
จิตเป็นธรรมธาตุ เป็นภาวะนิพพาน จิตไม่เคยตายถึงธรรมชาติแล้ว หายสงสัยร้อยเปอร์เซ็นต์

18. แรกเริ่ม ธาตุขันธ์ เป็นเครื่องมือของกิเลส แต่ปฏิบัติไปถึงจุดหนึ่ง ธาตุขันธ์จะเป็นเครื่องมือของธรรมทั้งหมด"

      พระธรรมเทศนาของพระอาจารย์มหาบัว ข้างต้นเปรียบได้ดั่งแผนที่เส้นทางปฏิบัติธรรม
ที่ชัดเจนที่สุด ตั้งแต่เบื้องต้นต้นถึงปลายทางแห่งพระนิพพาน เป็นของขวัญอันล้ำค่าที่ครูบาอาจารย์ได้มอบแก่เหล่าศิษย์นักปฏิบัติทั้งหลาย